แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อพฤติการณ์แสดงว่าผู้ต้องหาว่าลักทรัพย์จะไม่หลบหนีแล้วถ้าผู้จับจะใช้วิธีล่ามโซ่ ก็ย่อมมีผิดตามมาตรา 270
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่านายลอนโจทก์ได้ยืมโค ๒ ตัวมาจากนายลิมบิดา แล้วนายบันจำเลยซึ่งเป็นบิดาภริยานายลอนได้ยึดโค ๒ ตัวนี้ไว้ไม่ยอมคืนให้โจท และได้นำไปแจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานเพื่อทำตั๋วรูปพรรณโครายนี้ครั้นโจทก์ไปนำโครายนี้คืน จำเลยได้สมคบกันหาว่าโจทก์ชิงทรัพย์ ได้เอาโซ่ใส่โจทก์นำมาบ้านกำนัน แล้วแจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าเป็นโคของจำเลย ขอให้ลงโทษและขอให้คืนโค ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามฟ้องและให้คืนโคให้โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าโครายนี้อยู่ในครอบครองของจำเลย จึงต้องสันนิษฐานในเบื้องต้นว่าเป็นของจำเลย ทั้งโจทก์นำสืบกรรมสิทธิไม่ได้ ดังนี้ข้อหาว่าแจ้งเท็จจึงตกไปส่วนการที่จำเลยจับกุมเอาโคคืนมาจากโจทก์โดยใช้โซ่ล่ามมือนำไปส่งบ้านกำนันนั้น เห็นว่าเป็นการใช้วิธีควบคุมเกินกว่าเหตุ เพราะไม่มีเหตุใดแสดงว่าโจทก์จะหลบหนีการควบคุมการกระทำดังนี้จึงเป็นความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ จึงพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ และ ๔ ตามกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๐ ปรับคนละ ๓๐ บาท จำเลยนอกนั้นให้ปล่อยไป