คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3102/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีตามคำพิพากษา มีสิทธิคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้กันเงินจากการขายทอดตลาดไว้เป็นค่าภาษีเงินได้
เงินรายได้จากการขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8) และผู้ซื้อเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ตามมาตรา50(5)(ข) และนำส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียนตามมาตรา 52 วรรค 2 เมื่อผู้ซื้อได้จ่ายเงินตามสัญญาขายทอดตลาดและมอบเงินที่ผู้ซื้อมีหน้าที่หักไว้เป็นภาษีแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีด้วย เงินจำนวนดังกล่าวเป็นภาษีเงินได้ที่ผู้ซื้อจะต้องนำส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมถือไม่ได้ว่าเป็นเงินรายได้สุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดที่จะนำไปจ่ายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ไม่มีสิทธิขอรับเงินจำนวนดังกล่าว.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์หากไม่ชำระหรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินรวม 10 โฉนดของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำนองไว้กับโจทก์ออกขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีทำบัญชีแสดงรายการรับจ่ายในคดีแล้วยอมจ่ายเงินแก่โจทก์ 932,216 บาท 82 สตางค์และกันเงิน 23,870 บาท 18สตางค์ไว้เป็นค่าภาษีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์
โจทก์ยื่นคำร้องว่าการขายทอดตลาดที่ดินรวม 10 โฉนดได้เงิน646,500 บาทเจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และเรียกเก็บภาษีจากผู้ซื้อไว้แล้วรวม 4 โฉนดเป็นเงิน 10,091 บาท 20 สตางค์และที่เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แล้วแต่ยังไม่ได้เรียกเก็บภาษีรวม 4 โฉนดและที่ยังไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รวม 2 โฉนดจำนวนเงินค่าภาษีที่เจ้าพนักงานที่ดินไม่ได้เรียกเก็บถือว่าเป็นภาษีอากรค้างจ่ายเจ้าพนักงานบังคับคดีจะคิดหักจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไม่ได้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ใช่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่เรียกเก็บภาษีเจ้าพนักงานที่ดินชอบที่จะเรียกเก็บภาษีจากผู้ซื้อทรัพย์ในขณะจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ขอให้สั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินที่กันไว้เป็นค่าภาษีจำนวน 23,870 บาท 18 สตางค์แก่โจทก์
กรมสรรพากรผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดย่อมเป็นเงินได้ของจำเลยซึ่งจำเลยมีหน้าที่ชำระค่าภาษีเงินได้จำนวนดังกล่าวและเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการจำหน่ายทรัพย์แทนจำเลยและผู้ซื้อ ผู้ซื้อมีหน้าที่จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งโดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้หักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งแทนเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้วขอให้ยกคำร้องของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนเงิน 23,870 บาท18 สตางค์แก่โจทก์
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 รวม 10 โฉนดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน2525 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ 12643,12648, 12651, 12652 ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีได้เงินจากการขายทอดตลาด 366,500 บาทเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2525 ได้ขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ 12644, 12545, 12647, 12649, 12650 ตำบลชะอำอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีได้เงินจากการขายทอดตลาด 646,500 บาทผู้ซื้อหักภาษีนำส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียนไปแล้วคือที่ดินโฉนดที่12646 ภาษีเงินได้ 2,302 บาท 72 สตางค์โฉนดที่ 12647 ภาษีเงินได้2,475 บาท 20 สตางค์โฉนดที่ 12649 ภาษีเงินได้ 2,737 บาท 28 สตางค์และโฉนดที่ 12650 ภาษีเงินได้ 2,576 บาทรวมภาษีเงินได้ที่นำส่งแล้วเป็นเงิน 10,091 บาท 20 สตางค์ภาษีเงินได้ที่ผู้ซื้อยังมิได้นำส่งในขณะที่มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมคือที่ดินโฉนดที่ 12643ภาษีเงินได้ 2,278 บาทโฉนดที่ 12648 ภาษีเงินได้ 2,229 บาทโฉนดที่12651 ภาษีเงินได้ 2,229 บาทและโฉนดที่ 12652 ภาษีเงินได้ 2,241 บาทรวมภาษีเงินได้ที่ยังมิได้นำส่งเป็นเงิน 8,977 บาทและที่ยังไม่ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมคือที่ดินโฉนดที่ 12644 ภาษีเงินได้ 2,474 บาท 49 สตางค์โฉนดที่ 12645 ภาษีเงินได้ 2,327 บาท 49 สตางค์รวมเป็นเงิน 4,801 บาท 98 สตางค์ปรากฏตามบัญชีรับจ่ายครั้งที่ 3ของเจ้าพนักงานบังคับคดีรวมภาษีเงินได้เป็นเงิน 23,870 บาท 18 สตางค์ที่ผู้ร้องฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้กันเงินจากการขายทอดตลาดไว้เป็นค่าภาษีเงินได้และคำคัดค้านของโจทก์เคลือบคลุมนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีตามคำพิพากษาโจทก์มีสิทธิคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้กันเงินจากการขายทอดตลาดไว้เป็นค่าภาษีเงินได้และคำร้องของโจทก์ได้กล่าวโดยแจ้งชัดแล้วว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่มีสิทธิ์กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดจำนวนดังกล่าวไว้เป็นค่าภาษีเงินได้คำร้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ผู้ร้องฎีกาว่าจำเลยเป็นผู้มีเงินได้จากการขายทอดตลาดผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์จากการขายทอดตลาดเป็นผู้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้นำส่งเจ้าพนักงานประเมินเมื่อผู้ซื้อได้ชำระไว้กับเจ้าพนักงานบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมีสิทธิ์กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเป็นค่าภาษีเพื่อนำส่งต่อเจ้าพนักงานประเมินแทนผู้ซื้อได้นั้น เห็นว่าเงินได้จากการขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา 40(8) และผู้ซื้อเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ตามมาตรา 50 (5) (ข) และนำส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียนตามมาตรา52 วรรค 2 เมื่อผู้ซื้อได้จ่ายเงินตามสัญญาขายทอดตลาดและมอบเงินที่ผู้ซื้อมีหน้าที่หักไว้เป็นภาษีแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีด้วยและปรากฏว่าได้นำส่งในขณะที่มีการจดทะเบียนไปแล้ว 4 โฉนดเป็นเงิน 10,091 บาท 20 สตางค์แต่อีก 4 โฉนดมิได้นำส่งในขณะที่มีการจดทะเบียนเป็นเงิน 8,977 บาทยังไม่ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมอีก 2 โฉนดเป็นเงิน 4,801 บาท 98 สตางค์เงินจำนวนดังกล่าวเป็นภาษีเงินได้ที่ผู้ซื้อจะต้องนำส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ถือไม่ได้ว่าเป็นเงินรายได้สุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดที่จะนำไปจ่ายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะขอรับเงินจำนวนดังกล่าว
พิพากษากลับยกคำร้องของโจทก์ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น.

Share