แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาลงโทษจำเลย และออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุด โดยให้นับโทษคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอื่นรวมแล้วเกิน 50 ปี จนคดีถึงที่สุดแล้ว หากปรากฏว่าการนับโทษต่อดังกล่าวขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ศาลชั้นต้นย่อมมีคำสั่งแก้ไขหมายจำคุกคดีถึงที่สุดใหม่ได้ ไม่เป็นการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาเพราะเป็นเรื่องการบังคับคดีที่ศาลชั้นต้นต้องออกหมายบังคับคดีถึงที่สุดให้ถูกต้องตามกฎหมาย การนับโทษจำคุกของจำเลยต่อจากโทษในคดีอื่นได้ไม่เกิน 50 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(1) ต้องปรากฏว่าคดีอื่นเป็นการกระทำความผิดในลักษณะที่เกี่ยวพันกันกับคดีนี้จนอาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันหรือรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้ เมื่อคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ผู้เสียหายทั้ง 2 คดี ไม่ใช่บุคคลเดียวกัน คดีทั้ง 2 คดีไม่เกี่ยวพันกันและไม่อาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันหรือรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้ จึงนับโทษต่อโดยรวมโทษจำคุกทั้งสิ้นเกิน50 ปีได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 277, 279, 285 และสั่งนับโทษจำเลยติดต่อกับโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 954/2534 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1194/2534ของศาลชั้นต้น จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง, 285, 80และมีความผิดตามมาตรา 279, 285 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษแก่จำเลยทุกกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราวางโทษจำคุกกระทงละ 8 ปี รวม 5 กระทง จำคุก 40 ปี ความผิดฐานกระทำอนาจารวางโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง จำคุก 3 ปีรวมโทษจำคุก 43 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 28 ปี 8 เดือน นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 954/2534 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 164/2536 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดโดยไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 22 กันยายน 2536ต่อศาลชั้นต้นว่าตามที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้นับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 954/2534และ 164/2536 ของศาลชั้นต้นนั้น คดีที่ขอให้นับโทษต่อคดีแรกศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดแต่ให้ลงโทษจำคุกจำเลยเพียง50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) และคดีหลังจำคุก 7 ปี6 เดือน ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วทั้งสองคดี จึงไม่อาจนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 954/2534 ได้อีกขอให้มีคำสั่งแก้ไขหมายจำคุกจำเลยตามคำพิพากษาด้วย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยโดยคู่ความไม่โต้แย้งว่า จำเลยถูกฟ้องต่อศาลชั้นต้นรวม3 คดี ทุกสำนวนศาลพิพากษาลงโทษจำเลยและคดีถึงที่สุดแล้ว สำนวนแรกได้แก่คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 954/2534 ลงโทษจำคุก 50 ปี สำนวนที่สองคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 164/2536 ลงโทษจำคุก 7 ปี 6 เดือน และสำนวนสุดท้าย ได้แก่คดีนี้ ลงโทษจำคุก 28 ปี 8 เดือน คดีทั้งสามสำนวน โจทก์ฟ้องข้อหาข่มขืนกระทำชำเราและกระทำอนาจารต่อผู้เสียหายแต่ละคนความผิดที่ฟ้องเป็นความผิดที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละรายซึ่งโจทก์ไม่อาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันหรือรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้ คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว หากจำเลยเห็นว่าศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุกสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จำเลยจะต้องใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษา จำเลยจะมาร้องขอแก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดไม่ได้ จำเลยฎีกาว่า แม้คดีถึงที่สุดแล้วแต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยมีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขหมายจำคุกตามคำพิพากษาได้ เห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยและออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดโดยให้นับโทษคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยอีก 2 คดีดังกล่าว รวมแล้วเกิน 50 ปี จนคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม หากปรากฏว่าการนับโทษต่อดังกล่าวขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 91(3)แห่งประมวลกฎหมายอาญา ศาลชั้นต้นย่อมจะมีคำสั่งแก้ไขหมายจำคุกคดีถึงที่สุดใหม่ เป็นให้นับโทษคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยอีก 2 คดีดังกล่าวแล้ว โดยรวมโทษจำคุกทั้งสิ้นไม่เกิน 50 ปีได้ ไม่เป็นการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องการบังคับคดีที่ศาลชั้นต้นจะต้องออกหมายบังคับคดีถึงที่สุดให้ถูกต้องตามกฎหมาย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามสำนวนเป็นการกระทำผิดหลายกรรม แต่ศาลจะลงโทษจำคุกโดยให้นับโทษคดีนี้ต่อจากโทษอีก 2 สำนวน อันมีผลทำให้จำเลยได้รับโทษจำคุกเกินกว่า50 ปี ไม่ได้ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 นั้น ปรากฏว่าปัญหาดังกล่าวนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยังมิได้วินิจฉัย แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเองโดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหานี้ก่อน พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การนับโทษคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอื่นได้ไม่เกิน 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91(3) นั้น ต้องปรากฏว่าคดีอื่นดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดในลักษณะที่เกี่ยวพันกันกับคดีนี้จนอาจจะฟ้องเป็นคดีเดียวกันหรือรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้ เมื่อปรากฏว่าคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษคดีนี้ต่อ ผู้เสียหายทั้ง 2 คดีดังกล่าวไม่ใช่บุคคลเดียวกันกับผู้เสียหายคดีนี้ คดีทั้ง 2 คดีไม่เกี่ยวพันกันกับคดีนี้ และไม่อาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันหรือรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้จึงนับโทษคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยทั้ง 2 คดีดังกล่าว โดยรวมโทษจำคุกทั้งสิ้นเกิน 50 ปีได้ กรณีไม่ตกอยู่ในบังคับ มาตรา 91(3)แห่งประมวลกฎหมายอาญา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน