คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5849/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยมีไม้ของกลางโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยนำไม้ของกลางเคลื่อนที่จึงมิใช่เป็นกรณีตามมาตรา 38 แห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 อันจะขอใบเบิกทางได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดข้อหานำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่โดยไม่มีใบเบิกทางของพนักงานเจ้าหน้าที่กำกับตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 39

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2545 จำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างกันคือ จำเลยมีไม้รังท่อน อันยังมิได้แปรรูปซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. จำนวน 3 ท่อน ปริมาตร 2.18 ลูกบาศก์เมตร อันเป็นไม้หวงห้าม เคลื่อนไปตามถนนสายตาลชุม-ไหล่น่าน หมู่ที่ 1 ตำบลตาลชุม อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน โดยไม่มีใบเบิกทางของเจ้าพนักงานที่กำกับไปด้วย อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และจำเลยต่อสู้ขัดขวางว่าที่ร้อยตรีสายันต์ ปลัดอำเภอเวียงสา (เจ้าพนักงานปกครอง) ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจหน้าที่จับกุมผู้กระทำความผิดอาญาในการปฏิบัติการตามหน้าที่จับกุมจำเลยขณะกระทำผิดโดยจำเลยขับรถยนต์บรรทุกไม้แล่นหลบหนีการจับกุมไปตามถนนสายตาลชุม-ไหล่น่าน แล้วยกกระบะระบบไฮดรอลิก บรรทุกเทไม้รังท่อนทิ้งบนถนนบริเวณสะพานข้ามถนนสายดังกล่าวเพื่อขัดขวางมิให้ว่าที่ร้อยตรีสายันต์ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน กข 88 น่าน แล่นตามจับกุมจำเลย และจำเลยยังขับรถยนต์บรรทุกดังกล่าวชนท้ายรถยนต์ของว่าที่ร้อยตรีสายันต์ที่ขับแล่นตามและจอดขวางรถยนต์จำเลยเพื่อมิให้จำเลยขับรถแล่นหลบหนีไปได้ จนเป็นเหตุให้รถยนต์หมายเลขทะเบียน กข 88 น่าน ของว่าที่ร้อยตรีสายันต์ได้รับความเสียหาย ฝากกระโปรงท้ายยุบกันชนท้ายและไฟท้ายแตกใช้การไม่ได้ คิดเป็นค่าเสียหายประมาณ 40,000 บาท เหตุเกิดที่ตำบลตาลชุม อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ผู้ประสงค์สินบนนำจับเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมยึดไม้รังดังกล่าวและรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-2629 น่าน ที่ใช้เป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นของกลาง ก่อนคดีนี้จำเลยถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี ฐานมีไม้หวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 859/2545 หมายเลขแดงที่ 806/2545 ภายในระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษจำเลยมากระทำความผิดคดีนี้อีก ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 5, 7, 39, 69, 71 ทวิ, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 138, 358 ริบของกลางทั้งหมด จ่ายเงินสินบนนำจับตามกฎหมาย และนำโทษที่ศาลรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 806/2545 ของศาลชั้นต้น บวกเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ระหว่าพิจารณาของศาลชั้นต้น ว่าที่ร้อยตรีสายันต์ ผู้เสียหาย ขอถอนคำร้องทุกข์ในข้อหาทำให้เสียทรัพย์ ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะข้อหาทำให้เสียทรัพย์ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 39, 69 วรรคหนึ่ง, 71 ทวิ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีไม้หวงห้ามยังไม่ได้แปรรูปไว้ในครอบครอง จำคุก 2 ปี ฐานนำไม้เคลื่อนที่โดยไม่มีใบเบิกทางของพนักงานเจ้าหน้าที่กำกับไปด้วย จำคุก 9 เดือน รวมโทษจำคุก 2 ปี 9 เดือน คำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 10 เดือน นำโทษจำคุก 1 ปี ที่รอการลงโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 806/2545 ของศาลชั้นต้น บวกเข้ากับโทษคดีนี้ รวมจำคุก 2 ปี 10 เดือน ริบของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยได้พร้อมยึดไม้รังอันยังมิได้แปรรูปซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ตามบัญชีต่อท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530 ลำดับที่ 75 ลำดับ จำนวน 3 ท่อน ปริมาตร 2.18 ลูกบาศก์เมตร และรถยนต์บรรทุก 6 ล้อ คันหมายเลขทะเบียน 80-2629 น่าน เป็นของกลาง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีว่าที่ร้อยตรีสายันต์ ปลัดอำเภอเวียงสา อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน กับนายสงวน และนายพายัพ อาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอเวียงสา ผู้ร่วมจับกุมจำเลยเป็นประจักษ์พยานเบิกความสอดคล้องต้องกันได้ความว่า วันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องขณะที่พยานทั้งสามกับพวกร่วมกันตั้งด่านตรวจเพื่อจับกุมผู้ลักลอบขนไม้ผิดกฎหมายตามที่ได้รับแจ้งจากสายลับ จำเลยได้ขับรถยนต์บรรทุก 6 ล้อ คันหมายเลขทะเบียน 80-2629 น่าน จะผ่านด่านตรวจ พยานทั้งสามและพวกให้สัญญาณเพื่อให้จำเลยหยุดรถ จำเลยไม่ยอมหยุดกลับเร่งความเร็วหลบหนี พยานทั้งสามจึงได้ขับรถยนต์ไล่ตามรถยนต์บรรทุกของจำเลยไป ขณะขับรถไล่ตามระหว่างทางบริเวณทางเบี่ยงที่กำลังก่อสร้างสะพาน จำเลยได้บังคับยกกระบะระบบไฮดรอลิกท้ายรถยนต์บรรทุกของจำเลยเทท่อนไม้ของกลางจำนวน 3 ท่อน ลงบนถนน แล้วยังคงขับหลบหนีต่อไป พวกของพยานทั้งสามได้ใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์ของจำเลยเพื่อมิให้หลบหนีต่อไป ยางรถยนต์ของจำเลยแตก แต่จำเลยก็ยังคงฝืนขับรถยนต์หลบหนี พยานทั้งสามกับพวกขับรถติดตามจนกระทั่งทันรถยนต์ของจำเลย ว่าที่ร้อยตรีสายันต์ได้ขับรถยนต์ติดตามแซงรถยนต์ของจำเลยขึ้นไปแล้วจอดดักรถยนต์ของจำเลยไว้ จำเลยได้ขับรถยนต์ชนรถยนต์ของว่าที่ร้อยตำรวจตรีสายันต์เป็นเหตุให้จำเลยไม่สามารถขับรถยนต์หลบหนีต่อไปได้ พยานทั้งสามกับพวกได้ลงจากรถเพื่อจับกุมจำเลย จำเลยเปิดประตูรถยนต์แล้ววิ่งหลบหนี พยานทั้งสามกับพวกไล่ติดตามจับกุมจำเลยได้ทันที จากนั้นได้แจ้งข้อหาตามฟ้องแก่จำเลย จำเลยให้การรับสารภาพ พยานทั้งสามกับพวกจึงได้นำตัวจำเลยส่งมอบต่อพนักงานสอบสวน เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามปากเบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นลำดับชั้นตอนต่อเนื่อง ตั้งแต่ติดตามจับกุมจำเลยจนกระทั่งจับกุมจำเลยได้อย่างสอดคล้องต้องกัน พยานโจทก์ปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลย น่าเชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความตามความเป็นจริง ข้อต่อสู้ของจำเลยที่นำสืบอ้างว่า วันเวลาเกิดเหตุจำเลยจะขับรถนำรถยนต์บรรทุกของกลางไปบรรทุกทรายให้นายจ้างโดยจำเลยปิดกระจกรถและเปิดเพลงฟังทำให้ไม่ได้ยินเสียงปืนที่พยานโจทก์กับพวกยิงล้อรถของจำเลย จำเลยกล่าวอ้างขึ้นอย่างลอยๆ และน่าจะเป็นเรื่องผิดปกติของบุคคลทั่วไปที่ตกอยู่ในภาวะที่ถูกเจ้าพนักงานขับรถไล่ติดตามจับกุมเช่นจำเลยควรจะรู้ ส่วนที่จำเลยฎีกาอ้างในทำนองว่าพยานโจทก์และพวกไม่ได้แต่งเครื่องแบบในการปฏิบัติหน้าที่แต่ละคนมีอาวุธปืน จำเลยย่อมเกิดความกลัวเพราะเป็นที่เปลี่ยว ถ้าหากหยุดรถแล้วย่อมเสี่ยงต่อการถูกปล้น และพยานโจทก์กับพวกยังได้ใช้ปืนยิงไปที่รถยนต์ของจำเลยอีกด้วย จึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยกระทำความผิดแล้วหลบหนี แต่เป็นการที่จำเลยหนีตายจากการถูกปล้นมากกว่า เช่นนี้ข้ออ้างของจำเลยเป็นข้อที่จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา ทั้งขัดต่อข้อนำสืบต่อสู้ของจำเลยอีกด้วย ฎีกาส่วนนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาในทำนองว่า ประจักษ์พยานโจทก์เห็นเหตุการณ์ขณะที่จำเลยขับรถแล้วบังคับยกกระบะท้ายรถเทท่อนไม้ของกลางทิ้งจากรถนั้น ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสมปากเบิกความแตกต่างกันในระยะห่างของการเห็นเหตุการณ์ จึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือนั้น เห็นว่า พฤติการณ์ที่พยานโจทก์ขับรถไล่ตามเพื่อจับกุมจำเลยเช่นนี้ การคำนวณระยะห่างที่เห็นการกระทำของจำเลยย่อมคลาดเคลื่อนแตกต่างกันได้บ้างทั้งไม้ของกลางก็เป็นไม้ท่อนขนาดใหญ่ ซึ่งน่าจะมองเห็นได้ในระยะไกล ข้อแตกต่างในเรื่องระยะห่างของการเห็นที่พยานโจทก์เบิกความต่างกันไม่เกิน 100 เมตร เช่นนี้ ไม่เป็นสาระสำคัญถึงกับทำให้น้ำหนักคำเบิกความของพยานโจทก์เกี่ยวกับการเห็นจำเลยทิ้งไม้จากรถยนต์ของกลางให้เป็นอื่นได้ ฎีกาส่วนนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ดังได้วินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์ พยานหลักฐานของจำเลยตลอดจนถึงฎีกาของจำเลยแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ไม้ของกลางเป็นไม้ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีไม้หวงห้ามอันยังไม่ได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่สำหรับความผิดฐานนำไม้เคลื่อนที่โดยไม่มีใบเบิกทางของพนักงานเจ้าหน้าที่กำกับไปด้วยนั้น เห็นว่า จำเลยมีไม้ของกลางโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยนำไม้ของกลางเคลื่อนที่จึงมิใช่เป็นกรณีตามมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 อันจะขอใบเบิกทางได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดในข้อหานำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่โดยไม่มีใบเบิกทางของพนักงานเจ้าหน้าที่กำกับได้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการฝ่าฝืนตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 39 ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานนี้ตามฟ้อง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับข้อหาความผิดฐานนำไม้เคลื่อนที่โดยไม่มีใบเบิกทางของพนักงานเจ้าหน้าที่กำกับไปด้วย คงเหลือจำคุกจำเลยรวม 2 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

Share