แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2543 ต่อมาวันที่ 20 พฤศจิกายน 2543 โจทก์ฟ้องขอเพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ทั้งได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาในการวางเงินค่าธรรมเนียมศาลโดยอ้างเหตุว่าเกิดอุทกภัยขึ้นในภูมิลำเนาของโจทก์อย่างรุนแรง โจทก์ปิดกิจการที่ทำอยู่ชั่วคราว แก่โจทก์ไม่สามารถนำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระได้ภายในเวลาที่ศาลกำหนด ต่อมาวันที่ 10 ตุลาคม 2544 โจทก์จึงนำคดีเดียวกันมาฟ้องใหม่พ้นคดีนี้ พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาในการยื่นฟ้องโดยอ้างเหตุสุดวิสัยข้างต้น ตามคำร้องดังกล่าวของอุทกภัยได้ผ่านพ้นไปนานแล้ว ถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ที่โจทก์จะนำมาอ้างเพื่อขอขยายระยะเวลาในการยื่นฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกันพ้นคดีนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มจากเจ้าพนักงานประเมินให้โจทก์เสียภาษีมูลค่าเพิ่มและเบี้ยปรับสำหรับเดือนภาษีกุมภาพันธ์ 2539 ถึงเดือนภาษีมิถุนายน 2539 และเดือนภาษีกันยายน 2539 ถึง เดือนภาษีธันวาคม 2539 โจทก์อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้ว วินิจฉัยให้ลดยอดลง บางส่วน โดยโจทก์ได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2543 โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนภาษีดังกล่าว และงดเบี้ยปรับหรือเรียกเก็บในอัตราน้อยที่สุด
ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่า โจทก์ยื่นฟ้องเกินกำหนด 30 วัน นับแต่ได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ และกรณีไม่มีเหตุสุดวิสัยที่ศาลจะขยายเวลาฟ้องให้โจทก์ได้ จึงไม่รับคำฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ทั้งหมด
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่าตามคำร้องขอขยายระยะเวลาในการยื่นฟ้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 10 ตุลาคม 2544 โจทก์อ้างว่าโจทก์ได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2543 วันที่ 20 พฤศจิกายน 2543 โจทก์ได้ฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกลางเพื่อขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์การประเมินภาษีของโจทก์ เป็นคดีหมายเลขดำที่ 308/2543 โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาในการวางเงินค่าธรรมเนียมศาล ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2543 แต่เนื่องจากโจทก์ประสบปัญหาอุทกภัยอย่างรุนแรงและต้องปิดกิจการไปชั่วคราว ไม่อาจนำเงินมาชำระค่าธรรมเนียมศาลได้ต่อมาวันที่ 10 ตุลาคม 2544 โจทก์จึงนำคดีเดียวกันมาฟ้องใหม่เป็นคดีนี้พร้อมกับยื่นคำร้องฉบับดังกล่าวเพื่อขอขยายระยะเวลาในการยื่นฟ้องโดยอ้างเหตุสุดวิสัยเพราะเหตุดังกล่าวข้างต้น ตามคำร้องของโจทก์ดังกล่าวเหตุอุทกภัยได้ผ่านพ้นไปนานแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยตามพระราชบัญญัติจัดจั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ที่โจทก์จะนำอ้างเพื่อขอขยายระยะเวลาในการยื่นฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกันต่อศาลเป็นคดีนี้ ดังนั้นที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลาในการยื่นฟ้องในคดีนี้ของโจทก์ว่า กรณีโจทก์ปิดกิจการและไม่สามารถนำเงินมาวางศาลได้ ไม่ใช่กรณีมีเหตุสุดวิสัย ศาลจึงไม่อาจขยายระยะเวลาฟ้องให้โจทก์ และมีคำสั่งในคำฟ้องคดีนี้ของโจทก์ว่า โจทก์ยื่นฟ้องเกินกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ และกรณีไม่มีเหตุสุดวิสัยที่ศาลจะขยายเวลาฟ้องให้โจทก์ได้ จึงไม่รับคำฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ทั้งหมด ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย คำสั่งของศาลภาษีอากรกลางชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.