แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จ. ผู้จัดการมรดกของ ฉ. ฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาที่จำเลยทำไว้กับ ฉ. ผู้ตาย จำเลยฎีกา ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จ. ถึงแก่กรรม มีผู้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ จ. ศาลฎีกายกคำร้อง และไม่ปรากฏว่าทายาทหรือผู้จัดการมรดกหรือบุคคลอื่นใดที่ปกครองทรัพย์มรดกของ ฉ. ยื่นคำขอเข้ามาเป็นคู่ความแทน จำเลยก็มิได้ยื่นคำขอให้ศาลมีหมายเรียกบุคคลดังกล่าวเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ภายในกำหนดเวลา 1 ปีนับแต่ความปรากฏแก่ศาล ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางแฉล้มผู้ตายตามคำสั่งศาลแพ่ง นางแฉล้มเป็นภริยาของพลตำรวจตรีเทพย์ซึ่งถึงแก่กรรมแล้ว นางแฉล้มและจำเลยต่างยื่นหนังสือขอรับบำเหน็จตกทอดของพลตำรวจตรีเทพย์ต่อกรมตำรวจ โดยต่างอ้างว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของพลตำรวจตรีเทพย์ กรมตำรวจมีคำสั่งให้จ่ายบำเหน็จตกทอดแก่นางแฉล้ม แต่ต่อมากรมบัญชีกลางได้ระงับการจ่ายบำเหน็จตกทอดแก่นางแฉล้ม นางแฉล้มได้ฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างพลตำรวจตรีเทพย์กับจำเลยเป็นโมฆะระหว่างพิจารณาจำเลยแถลงต่อศาลว่า จำเลยขอสละสิทธิไม่ติดใจยุ่งเกี่ยวเรียกร้องเกี่ยวกับบำเหน็จตกทอดหรือเงินใด ๆ และจำเลยจะไปดำเนินการยื่นคำร้องถอนเรื่องขอรับบำเหน็จตกทอดต่อกรมตำรวจภายใน 7 วัน นางแฉล้มจึงถอนฟ้องจำเลย แต่จำเลยไม่ดำเนินการตามข้อตกลงจนกระทั่งนางแฉล้มถึงแก่กรรม การกระทำของจำเลยทำให้นางแฉล้ม และโจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่สามารถรับบำเหน็จตกทอดของพลตำรวจตรีเทพย์ได้ ขอให้บังคับจำเลยมีหนังสือแจ้งไปยังกรมตำรวจและกรมบัญชีกลางขอสละสิทธิไม่ติดใจเรียกร้องเกี่ยวกับเงินบำเหน็จหรือเงินตกทอดใด ๆ ที่กรมตำรวจหรือกรมบัญชีกลางจะจ่ายให้แก่ทายาทของพลตำรวจตรีเทพย์ตามข้อตกลงระหว่างนางแฉล้มกับจำเลยเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2531 ให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน12,750 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน120,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าโจทก์จะได้รับเงินจากกรมบัญชีกลาง
จำเลยให้การว่า บำเหน็จตกทอดไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนางแฉล้มเพราะนางแฉล้มยังไม่มีสิทธิได้รับ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายเพราะทางราชการปฏิเสธไม่ยอมจ่ายเงินแก่โจทก์เอง ข้อตกลงในคดีที่โจทก์อ้างในฟ้องไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ แม้จำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ไม่ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยมีหนังสือแจ้งไปยังกรมตำรวจเพื่อขอสละสิทธิไม่ติดใจเรียกร้องเกี่ยวกับเงินบำเหน็จตกทอดใด ๆที่กรมตำรวจจะจ่ายให้แก่ทายาทหรือภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของพลตำรวจตรีเทพย์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 120,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 27 ธันวาคม 2532) ไปจนกว่าจำเลยจะยื่นคำร้องขอสละสิทธิรับเงินบำเหน็จตกทอดต่อกรมตำรวจ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา นายจำนงค์ถึงแก่กรรมพันเอกเขมรัฐผู้จัดการของนายจำนงค์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่นายจำนงค์ ศาลฎีกาให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2535นายจำนงค์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2535 ต่อมาวันที่6 กันยายน 2536 พันเอกเขมรัฐผู้จัดการมรดกของนายจำนงค์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่นายจำนงค์ ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ยกคำร้องไปแล้ว ดังนี้ นอกจากพันเอกเขมรัฐแล้วไม่ปรากฏว่าทายาทหรือผู้จัดการมรดกหรือบุคคลอื่นใดที่ปกครองทรัพย์มรดกของนางแฉล้มผู้ตายได้ยื่นคำขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนและจำเลยก็มิได้มีคำขอให้ศาลมีหมายเรียกบุคคลดังกล่าวเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ภายในเวลาหนึ่งปีนับแต่ความปรากฏแก่ศาลกรณีจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 42 วรรคสอง
ให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกา