แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้ผู้ใด โดยอ้างว่า เป็นทรัพย์ของเจ้ามรดกนั้น มิใช่จะถือว่าทรัพย์ที่ระบุในพินัยกรรม เป็นของเจ้ามรดกเสมอไป ต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานต่าง ๆ ว่าเป็น ทรัพย์ของเจ้ามรดกหรือไม่ เมื่อคดีฟังได้ว่าเจ้ามรดกได้ยกทรัพย์ บางส่วนให้จำเลยทั้งสองก่อนตาย ทรัพย์ส่วนที่ยกให้ย่อมไม่เป็น ของเจ้ามรดกที่จะทำพินัยกรรมยกให้โจทก์ทั้งสองได้.
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกนายประคอง แจ่มประทีป โจทก์ในสำนวนแรก และจำเลยที่ 2ในสำนวนหลังเป็นโจทก์ที่ 1 เรียกนางละมัย ทรงไตรย์ จำเลยที่ 1ในสำนวนหลังเป็นโจทก์ที่ 2 เรียกนางทวี ศรสุวรรณ จำเลยในสำนวนแรกและโจทก์ที่ 2 ในสำนวนหลังเป็นจำเลยที่ 1 เรียกนางละเมียด จันทร์ทรงโจทก์ที่ 1 ในสำนวนหลังเป็นจำเลยที่ 2
สำนวนแรกโจทก์ที่ 1 ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองของนางบุญนาค แจ่มประทีป มารดา โดยนางบุญนาคทำพินัยกรรมยกบ้านเลขที่ 24 หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านคลังอำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และโรงวัวซึ่งอยู่ติดกับบ้านดังกล่าวให้โจทก์ที่ 1 เมื่อนางบุญนาคตายแล้ว โจทก์ที่ 1เข้าไปทำการรื้อบ้านและโรงวัว แต่จำเลยที่ 1 ขัดขวางอ้างว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 ขอให้พิพากษาห้ามมิให้จำเลยที่ 1 และบริวารขัดขวาง
จำเลยที่ 1 ให้การว่า นางบุญนาค แจ่มประทีป มารดา ยกบ้านทรงไทยยอดแหลมเลขที่ 24 ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โดยยกให้ตอนจำเลยที่ 1 สมรสกับนายกมล ศรสุวรรณ และใช้บ้านหลังนี้เป็นเรือนหอต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ต่อเติมบ้านทรงไทยยอดแหลมขึ้นอีกหลังเป็นทรงบังกะโลและปลูกโรงวัวขึ้นเองภายหลัง นางบุญนาคไม่มีสิทธิเอาทรัพย์ดังกล่าวไปทำพินัยกรรมยกให้โจทก์ที่ 1 พินัยกรรมท้ายฟ้องไม่สมบูรณ์เป็นโมฆะ เพราะขณะทำพินัยกรรมนางบุญนาคมีสติไม่สมบูรณ์หลงใหลฟั่นเฟือน ลายพิมพ์นิ้วมือในพินัยกรรมจะเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของนางบุญนาคที่แท้จริงหรือไม่ จำเลยที่ 1 ไม่รับรอง ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนที่สอง จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 และโจทก์ที่ 1 ที่ 2 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันเมื่อนางบุญนาค แจ่มประทีป มารดายังมีชีวิตนางบุญนาคยกที่ดินส.ค.1 เลขที่ 21 หมู่ที่ 21 หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านคล้ง อำเภอบางบาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ประมาณ 78 ตารางวา กับเรือนทรงไทยยอดแหลมเลขที่ 24 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินแปลงนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ครอบครองปลูกบ้านเพิ่มขึ้นอีก 1 หลัง เป็นบ้านทรงบังกะโลติดกับเรือนหลังเดิมและปลูกโรงวัวขึ้นอีก 1 โรงและนางบุญนาคยังยกที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 54 เล่ม 1 หน้า 47 หมู่ที่ 5ตำบลบ้านคล้ง เนื้อที่ 3 งาน 92 ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ 2จำเลยที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ด้วย โดยจำเลยที่ 2 ได้ปลูกเรือนในที่ดินส่วนที่ได้รับยกให้อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของที่ดิน โจทก์ที่ 2ก็เข้าครอบครองที่ดินส่วนที่ได้รับยกให้เช่นกัน ใช้ปลูกบ้านจำเลยที่ 1 ซึ่งได้ที่ดินทางด้านทิศตะวันตก ได้ใช้ที่ดินทำลานนวดข้าว และทำสวน นอกจากนี้นางบุญนาคยังได้ยกที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 19หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านคล้งเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ 2และโจทก์ที่ 2 คนละครึ่ง ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้เข้าครอบครองที่ดินแปลงนี้ทางด้านทิศตะวันออกและปลูกโรงวัวไว้ 1 โรง สำหรับที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 ปล่อยทิ้งว่างไว้ หลังจากนางบุญนาคตายแล้ว จำเลยจึงรู้ว่าโจทก์ทั้งสองสมคบกันฉ้อฉลหลอกลวงพานางบุญนาคไปทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองที่อำเภอบางบาล นางบุญนาคไม่มีอำนาจเอาทรัพย์สินดังกล่าวซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้วไปทำพินัยกรรมยกให้แก่โจทก์ทั้งสอง ทั้งขณะทำพินัยกรรมนางบุญนาคชรามากแล้ว มีสติไม่สมบูรณ์หลงลืม ได้ทำพินัยกรรมเพราะถูกข่มขู่โดยสำคัญผิดหรือถูกกลฉ้อฉลถึงขนาด พินัยกรรมดังกล่าวจึงเสียไปทั้งฉบับ ขอให้เพิกถอนข้อกำหนดพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองฉบับลงวันที่20 สิงหาคม 2528 และพิพากษาว่า ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 21 พร้อมเรือนทรงไทยเลขที่ 24 กับเรือนทรงบังกะโลและโรงวัวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 19 เนื้อที่ประมาณ 30 ตารางวาตามเส้นสีแดงในแผนที่ท้ายฟ้องกับโรงวัวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2และที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 54 เล่ม 1 หน้า 47 เนื้อที่ดินประมาณ150 ตารางวา ตามเส้นสีเหลืองในแผนที่ท้ายฟ้องพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ที่ดินตามเส้นสีเขียวในแผนที่ท้ายฟ้องเนื้อที่ประมาณ 92 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1
โจทก์ให้การว่า นางบุญนาคไม่เคยยกที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 21พร้อมบ้านเลขที่ 24 หรือยกที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 19 หรือยกที่ดินน.ส.3 เลขที่ 54 ให้แก่จำเลยคนหนึ่งคนใดเลย จำเลยอยู่ในที่ดินโดยอาศัยนางบุญนาค มารดา พินัยกรรมของนางบุญนาคมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ทรัพย์สินที่ระบุในพินัยกรรมเป็นของนางบุญนาคทั้งสิ้นคำฟ้องที่อ้างว่าพินัยกรรมไม่สมบูรณ์เป็นฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 21 (ที่ถูกควรจะเป็นส.ค.1 เลขที่ 19) หมู่ 5 ตำบลบ้านคล้ง อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดิน คือบ้านทรงบังกะโลเลขที่ 24 และโรงวัวเป็นของจำเลยที่ 1 ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 19(ที่ถูกควรจะเป็น ส.ค.1 เลขที่ 21) หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านคล้งอำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เฉพาะส่วนที่จำเลยที่ 2ปลูกโรงวัวอยู่ตามรูปแผนที่ท้ายคำฟ้องในสำนวนคดีหมายเลขดำที่126/2530 เส้นสีแดงเนื้อที่ประมาณ 30 ตารางวา เป็นของจำเลยที่ 2ที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 54 เล่ม 1 หน้า 47 หมู่ 5 ตำบลบ้านคล้งอำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เฉพาะส่วนที่จำเลยที่ 2ปลูกบ้านอยู่ตามรูปแผนที่ท้ายคำฟ้องคดีหมายเลขดำที่ 126/2530เส้นสีเหลือง เนื้อที่ประมาณ 150 ตารางวา เป็นของจำเลยที่ 2และเฉพาะส่วนตามเส้นสีเขียวเนื้อที่ประมาณ 92 ตารางวา เป็นของจำเลยที่ 1 ให้เพิกถอนพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมือง ฉบับลงวันที่20 สิงหาคม 2528 ของนางบุญนาค แจ่มประทีป ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1ในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 32/2530 (สำนวนแรก)
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…การที่นางบุญนาคได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้ผู้ใดโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของนางบุญนาคนั้น มิใช่จะถือว่าทรัพย์ที่ระบุในพินัยกรรมเป็นของนางบุญนาค ต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานต่าง ๆ ว่าเป็นทรัพย์ของนางบุญนาคหรือไม่ เมื่อคดีฟังได้ว่านางบุญนาคได้ยกให้จำเลยทั้งสองบางส่วนก่อนตาย ทรัพย์ส่วนที่ยกให้ย่อมไม่เป็นของนางบุญนาคที่จะทำพินัยกรรมยกให้โจทก์ทั้งสองได้ ส่วนที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่าเมื่อมีการพิพาทเรื่องทางภารจำยอมทางด้านทิศใต้ของที่ดิน ส.ค.1ทั้งสองแปลงถูกปิดกั้นจำเลยทั้งสองเป็นผู้ฟ้องร้อง เป็นข้อสนับสนุนว่านางบุญนาคยกให้จำเลยทั้งสองทั้งที่คดีดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสองนั้น เห็นว่าเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ยกเหตุผลตามพยานหลักฐานในสำนวนให้เห็นว่าพยานจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักดีกว่าพยานโจทก์เพื่อชี้ว่าจำเลยทั้งสองได้รับการยกให้ทรัพย์พิพาทมาก่อนแล้วมิใช่เอาคำพิพากษาคดีก่อนมาผูกมัดโจทก์แต่อย่างใด ฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
แต่ที่ศาลล่างทั้งสองให้เพิกถอนพินัยกรรมนั้น เห็นว่าพินัยกรรมดังกล่าวนายอุดม บุญนรา ปลัดอำเภอเสนาผู้ทำหน้าที่แทนนายอำเภอและเป็นผู้ทำพินัยกรรมรายนี้เบิกความว่า นางบุญนาคมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ็ดี และพินัยกรรมทำถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายจึงเป็นพินัยกรรมที่ชอบด้วยกฎหมาย และทรัพย์ที่ระบุในพินัยกรรมมีพิพาทบางส่วนเท่านั้น ยังมีส่วนที่มิได้พิพาทกัน เช่นที่ดินตามน.ส.3 เอกสารหมาย ล.2 และ ส.ค.1 เลขที่ 21 เอกสารหมาย ล.3บางส่วน ส่วนที่ไม่พิพาทยังมีผลตามพินัยกรรม ไม่มีผลเฉพาะแต่ทรัพย์พิพาทที่ได้ยกให้แก่จำเลยทั้งสองเท่านั้น จึงควรเพิกถอนพินัยกรรมบางส่วนเฉพาะทรัพย์ส่วนที่เกี่ยวกับที่นางบุญนาคได้ยกให้แก่จำเลยทั้งสอง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองฉบับลงวันที่ 20 สิงหาคม 2528 ของนางบุญนาค แจ่มประทีป บางส่วนเฉพาะเกี่ยวกับทรัพย์ที่นางบุญนาคได้ยกให้แก่จำเลยทั้งสองเท่านั้นนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.