แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่พิพาทอยู่ในเขตหวงห้ามของทางราชการ โจทก์เข้าครอบครองเฉพาะฤดูฝนเพื่อปลูกพืชโดยพลการ สิ้นฤดูฝนแล้วก็มิได้ครอบครองและมิได้ล้อมรั้วกั้นเขตไว้ขณะเกิดเหตุเป็นฤดูแล้ง โจทก์ไม่ได้ครอบครองที่พิพาท จึงไม่มีสิทธิหวงห้ามบุคคลอื่นใดมิให้เกี่ยวข้องกับที่พิพาทได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้ามาแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ โดยตัดถนนจากที่ดินของจำเลยผ่านเข้ามาในที่ดินของโจทก์ โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 362
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว สั่งว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 ปรับ 500 บาท คำขอโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยขาดเจตนาที่จะบุกรุกที่ดินดังโจทก์ฟ้องพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฟ้องของโจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามส.ค.1 จำเลยบุกรุกเข้าแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์โดยตัดถนนผ่านที่ดินของโจทก์ แต่ตามทางพิจารณาข้อเท็จจริงกลับได้ความว่าบริเวณที่ดินพิพาทอยู่ในเขตหวงห้ามของทางราชการ โจทก์จะครอบครองบริเวณที่ดินพิพาทเฉพาะฤดูฝนเพื่อปลูกมะเขือเทศโดยพลการเท่านั้น เมื่อสิ้นฤดูฝนแล้วโจทก์มิได้ครอบครองคงปล่อยทิ้งไว้ให้หญ้าขึ้นรกโดยโจทก์มิได้ล้อมรั้วกั้นเขตไว้เพื่อเป็นการหวงกันบุคคลอื่นแต่อย่างใด โดยเฉพาะขณะเกิดเหตุเป็นฤดูแล้งระหว่างปลายเดือนธันวาคมกับเดือนมกราคมโจทก์มิได้ครอบครอง ทั้งการทำถนนซึ่งโจทก์กล่าวหาจำเลยตามฟ้อง ข้อเท็จจริงก็น่าเชื่อว่า จำเลยได้ขออนุญาตจากทางสหกรณ์นิคมทำต่อจากถนนที่เจ้าพนักงานกรมทางได้ตัดไปเพื่อลำเลียงน้ำจากคลองไปยังที่ดินของจำเลยตามที่จำเลยนำสืบ ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะเกิดเหตุคดีนี้โจทก์มิได้ครอบครองบริเวณที่ดินพิพาท โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิหวงห้ามบุคคลอื่นใดมิให้เกี่ยวข้องกับที่พิพาทได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ทั้งการที่จำเลยทำการตัดถนน ก็ปรากฏว่าจำเลยได้รับอนุญาตจากทางการสหกรณ์นิคมแล้ว จำเลยจึงขาดเจตนาที่จะบุกรุกที่ดินดังโจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน