คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5832/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กำหนดระยะเวลาต่าง ๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 290 ที่ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษารายอื่นยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งได้ยึดหรืออายัดมานั้น หมายความเฉพาะถึงการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีและโดยการร้องขอของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อการเคหะแห่งชาติได้ส่งเงินมาให้ศาลชั้นต้นตามหมายอายัดชั่วคราวก่อนพิพากษา กรณีจึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 290 ที่ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยจะต้องยื่นคำร้องภายในระยะเวลาดังกล่าว
บุริมสิทธิในมูลจ้างทำของเป็นการงานทำขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์นั้น กฎหมายให้มีอยู่เหนืออสังหาริมทรัพย์ที่ทำการงานขึ้นและอสังหาริมทรัพย์นั้นต้องเป็นของลูกหนี้ คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าจ้างก่อสร้างตามสัญญาจ้างทำของซึ่งโจทก์รับก่อสร้างช่วงงานจากจำเลย โดยจำเลยได้รับจ้างก่อสร้างให้การเคหะแห่งชาติอีกต่อหนึ่ง และอสังหาริมทรัพย์ซึ่งโจทก์ทำการก่อสร้างก็เป็นของการเคหะแห่งชาติกรณีจึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์มีบุริมสิทธิเหนือ อสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 273 และ 275 โจทก์จะอ้างบุริมสิทธิรับชำระหนี้จากเงินซึ่งการเคหะแห่งชาติส่งมาให้ศาลชั้นต้นเหนือผู้ร้องหาได้ไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระเงินค่าจ้างทำของแก่โจทก์ทั้งสองจำนวน ๑,๔๗๖,๘๑๙.๖๑ บาท และให้จำเลยชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์ที่ ๑ จำนวน ๙๒,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอายัดเงินที่จำเลยมีสิทธิได้รับจากการเคหะแห่งชาติไว้เป็นการชั่วคราวก่อนพิพากษาเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ และวันที่ ๒๘ เดือนเดียวกัน โจทก์ทั้งสองกับจำเลยได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยยินยอมชำระเงินให้โจทก์ทั้งสองตามฟ้อง และศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุด ต่อมาการเคหะแห่งชาติได้ส่งเงินมาให้ศาลชั้นต้นตามหมายอายัดชั่วคราวดังกล่าวรวม ๓ ครั้ง เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๗, ๑๔ สิงหาคม ๒๕๒๗ และ ๑๓ มีนาคม ๒๕๒๘ เป็นเงินรวา ๑,๓๐๐,๖๖๑.๖๘ บาท
ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ อ้างว่าต่างเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษา
โจทก์คัดค้านว่า หนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๔ เกิดจากการสมยอม และคำร้องขอเฉลี่ยของผู้ร้องที่ ๒ ถึงที่ ๖ ยื่นเกินกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ และโจทก์มีบุริมสิทธิพิเศษที่จะได้รับเงินตามสัญญาจ้างทำของบนอสังหาริมทรัพย์ ผู้ร้องทั้งหกจึงไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทั้งหกมีสิทธิขอเฉลี่ยเงินในคดีนี้ได้ตามส่วนของจำนวนหนี้ที่จำเลยค้างชำระผู้ร้องแต่ ละคนได้ตามคำร้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า น่าเชื่อว่าจำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๔ จริง ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า ผู้ร้องที่ ๕ ที่ ๖ ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เกินกำหนด ๓ เดือน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ (ซึ่งใช้อยู่ในขณะนั้น) นั้น เห็นว่า กำหนดระยะเวลาต่าง ๆ ที่ให้เจ้านี้ตามคำพิพากษารายอื่นยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งได้ยึดหรืออายัดมาตาม มาตรา ๒๙๐ นั้น หมายความเฉพาะถึงการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีและโดยการร้องขอ ของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น สำหรับคดีนี้ปรากฏว่าการเคหะแห่งชาติได้ส่งเงินมาให้ศาลชั้นต้นตามหมายอายัดชั่วคราวก่อนพิพากษา ลงวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ ดังนั้นกรณีจึงไม่อยู่ในบังคับของ มาตรา ๒๙๐ ที่ผู้ร้องที่ ๕ และที่ ๖ ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยจะต้องยื่นคำร้องภายในระยะเวลาดังกล่าว ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ทั้งสองฎีกาประการสุดท้าย โจทก์ทั้งสองมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้บุริมสิทธิก่อนผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายอื่นนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าจ้างก่อสร้างตามสัญญาจ้างทำของซึ่งโจทก์รับก่อสร้างช่วงงานจากจำเลย โดยจำเลยได้รับจ้างก่อสร้างให้การเคหะแห่งชาติอีกต่อหนึ่ง และอสังหาริมทรัพย์ซึ่งโจทก์ทำการก่อสร้างก็เป็นของการเคหะแห่งชาติมิใช่ของจำเลย กรณีจึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์มีบุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๗๓ และ ๒๗๕ โจทก์จะอ้างบุริมสิทธิรับชำระหนี้จากเงินซึ่งการเคหะแห่งชาติส่งมาให้ศาลชั้นต้นเหนือผู้ร้องหาได้ไม่ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้นดุจกัน
พิพากษายืน

Share