แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหาย โดยใช้ก้อนหินทุบกราม ผู้เสียหาย ผู้เสียหายได้ไปให้แพทย์ที่คลินิก รักษาบาดแผล หลังจากผู้เสียหายไปให้แพทย์ที่คลินิก รักษาบาดแผลแล้วไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวผู้เสียหายไปให้แพทย์โรงพยาบาลตรวจรักษาอีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายมีอาการได้รับบาดเจ็บมาก แพทย์โรงพยาบาลได้ตรวจร่างกายผู้เสียหายด้วยวิธีเอกซเรย์ พบว่า กระดูกแก้มขวาแตกมีเลือดออกในโพรงกระดูก และมีความเห็นว่า ตามปกติต้องใช้เวลารักษาประมาณ 3 เดือน ผู้เสียหายเองก็เบิกความยืนยันว่า ได้รับบาดเจ็บกราม หัก เคี้ยวอาหารไม่ได้ตามปกติ รักษาอยู่ประมาณ 25 วันจึงหาย จึงรับฟังได้ว่าผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันและประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันอันเป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ประกอบมาตรา 83วางโทษจำคุกคนละ 3 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือนและปรับคนละ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 2 ปี กับให้คุมความประพฤติจำเลยทั้งสองไว้ โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติมีกำหนด 3 เดือน ต่อครั้ง ภายในเวลา 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยทั้งสองและนายเผือกได้ร่วมกันทำร้ายนายสิงห์ชัย คำมุสิก ผู้เสียหาย และใช้ก้อนหินทุบใบหน้าบริเวณกราม ของผู้เสียหายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสหรือไม่ ในข้อนี้โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า จำเลยทั้งสองและนายเผือกได้ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายโดยนายเผือกใช้ก้อนหินทุบกราม ผู้เสียหายได้ไปให้แพทย์ที่คลินิก รักษาบาดแผลหลังจากนั้นไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางพลัด พนักงานสอบสวนส่งผู้เสียหายไปให้แพทย์โรงพยาบาลยันฮีตรวจรักษาอีกครั้ง แพทย์ทำรายงานการตรวจบาดแผลตามเอกสารท้ายฟ้อง ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บกราม หักเคี้ยวอาหารไม่ได้ตามปกติรักษาอยู่ประมาณ 25 วันจึงหายนอกจากนั้นโจทก์ยังมีนายแพทย์วิสูตรฟองศิริไพบูลย์ แพทย์ผู้ตรวจรักษาบาดแผลผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นผู้ตรวจร่างกายผู้เสียหายซึ่งมีร่องรอยฟกช้ำมากที่บริเวณแก้มขวา จากการเอกซเรย์ พบว่าบริเวณกระดูกแก้มขวาแตกมีเลือดออกในโพรงกระดูก การรักษาบาดแผลโดยทั่วไปต้องใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ทำรายงานการตรวจชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องไว้ เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องกันไม่มีพิรุธว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยทั้งสอง เชื่อว่าพยานโจทก์ได้เบิกความไปตามความจริง หลังจากผู้เสียหายไปให้แพทย์ที่คลินิกรักษาบาดแผลแล้วไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนนั้นปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวผู้เสียหายไปให้แพทย์โรงพยาบาลยันฮีตรวจรักษาอีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายมีอาการได้รับบาดเจ็บมาก นายแพทย์วิสูตรได้ตรวจร่างกายผู้เสียหายด้วยวิธีเอกซเรย์พบว่ากระดูกแก้มขวาแตกมีเลือดออกในโพรงกระดูก และมีความเห็นว่าตามปกติต้องใช้เวลารักษาประมาณ 3 เดือน ผู้เสียหายเองก็เบิกความยืนยันว่าได้รับบาดเจ็บกรามหักเคี้ยวอาหารไม่ได้ตามปกติ รักษาอยู่ประมาณ25 วันจึงหาย พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันและประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันอันเป็นอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8)
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ประกอบมาตรา 83จำคุกคนละ 1 ปี