คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5829/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

วันออกเช็คตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ คือวันที่ลงในเช็ค ส่วนวันที่เขียนเช็คหาใช่วันออกเช็คไม่ หนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 อันเป็นตราสารที่โจทก์อ้างเป็นพยานได้ปิดอากรแสตมป์แล้วแต่ไม่มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์ จึงต้องถือว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 เมื่อหนี้เงินกู้ยืมระหว่างจำเลยและโจทก์มีจำนวนมากกว่าห้าสิบบาทและฟังไม่ได้ว่ามีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้เช่นนี้หนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่ไม่สามารถบังคับได้ตามกฎหมายดังนั้น การที่จำเลยออกเช็คฉบับพิพาทมอบให้ผู้เสียหาย แม้จำเลยเป็นหนี้เงินกู้ตามจำนวนเงินตามเช็คดังกล่าวแก่ผู้เสียหายอยู่และออกเช็คนั้นชำระหนี้ให้แก่ผู้เสียหายก็ตาม แต่เมื่อหนี้นั้นไม่สามารถบังคับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยย่อมขาดองค์ประกอบความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การออกเช็คนำไปมอบให้ผู้เสียหายในวันทำสัญญากู้มีลักษณะเป็นการที่จำเลยนำเช็คนั้นไปก่อหนี้โดยการทำสัญญากู้แล้วรับเงินสดจากผู้เสียหาย ประกอบกับจำนวนเงินที่ลงในเช็คก็ตรงกับจำนวนเงินที่ลงไว้ในสัญญากู้ไม่ใช่เป็นการออกเช็คชำระหนี้ที่มีอยู่แล้วให้แก่ผู้เสียหาย การออกเช็คของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการเขต 8 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า การออกเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวนเดียวกันกับที่จำเลยทำสัญญากู้เงินจากผู้เสียหาย แล้วมอบเช็คให้แก่ผู้เสียหายในวันทำสัญญากู้ดังกล่าว เป็นการออกเช็คในวาระเดียวกันกับการกู้ยืมเงินและรับเงินไปจากผู้เสียหาย แสดงให้เห็นว่าก่อนออกเช็คจำเลยกับผู้เสียหายมิได้มีหนี้ต่อกันการออกเช็คของจำเลยจึงไม่ใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่แล้ว ถือไม่ได้ว่าเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามฟ้องพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติว่าจำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีข้อความระบุว่าจำเลยกู้เงินผู้เสียหายจำนวน 300,000 บาท เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2536โดยสัญญาว่าจะชำระเงินกู้ให้แก่ผู้เสียหายภายในวันที่28 ตุลาคม 2536 และจำเลยออกเช็คเอกสารหมาย จ.2ลงวันที่ล่วงหน้าเป็นวันที่ 28 ตุลาคม 2536 สั่งจ่ายเงินจำนวน300,000 บาท มอบให้ผู้เสียหายไว้ผู้เสียหายนำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีของผู้เสียหายที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัดสาขาถนนเจ้าฟ้า เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คเมื่อวันที่4 มีนาคม 2537 ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คโดยให้เหตุผลว่า “โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย” ตามใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.3โดยในวันที่ 28 ตุลาคม 2536 จำเลยมีเงินอยู่ในบัญชีจำนวน2,187.95 บาท และในวันที่ 4 มีนาคม 2537 จำเลยมีเงินอยู่ในบัญชีจำนวน 4,291.95 บาท
ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยออกเช็คเอกสารหมาย จ.2 ลงวันที่28 ตุลาคม 2536 แม้ผู้เสียหายได้รับเช็คดังกล่าวในวันที่28 เมษายน 2536 หรือหลังจากนั้นก็ตามก็ถือได้ว่าวันที่28 ตุลาคม 2536 เป็นวันออกเช็ค มิใช่วันที่ 28 เมษายน 2536ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัย เมื่อจำเลยเป็นหนี้เงินกู้ผู้เสียหายตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2536 ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1และจำเลยออกเช็คเอกสารหมาย จ.2 ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2536ชำระหนี้ให้ผู้เสียหาย เมื่อเช็คถึงกำหนดผู้เสียหายนำเช็คไปยื่นเพื่อให้ใช้เงิน และธนาคารปฏิเสธการใช้เงินตามเช็คการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 แล้ว นั้นเห็นว่า วันออกเช็คตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คดังกล่าวคือวันที่ลงในเช็ค ส่วนวันที่เขียนเช็คหาใช่วันออกเช็คไม่ ฉะนั้น วันออกเช็คในคดีนี้คือวันที่ 28 ตุลาคม 2536ตามที่โจทก์ฎีกา อย่างไรก็ตาม แม้ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าในวันดังกล่าวจำเลยไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินตามเช็คได้ โดยจำเลยมีเงินอยู่ในบัญชีจำนวนเพียง2,187.95 บาท และธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นแล้วก็ตาม แต่การออกเช็คเอกสารหมาย จ.2 สั่งจ่ายเงินจำนวน 300,000 บาท ของจำเลยจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534มาตรา 4 ก็ต่อเมื่อจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและสามารถบังคับได้ตามกฎหมาย จึงต้องพิจารณาได้ความว่ามีหนี้ที่จะต้องชำระก่อนและหนี้นั้นจะต้องบังคับได้ตามกฎหมายและได้มีการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ดังกล่าวนั้นด้วย สำหรับ การกู้ยืมเงินนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้าไม่ได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่” ที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยกู้เงินจำนวน 300,000 บาท จากผู้เสียหายตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 และมอบเช็คเอกสารหมาย จ.2 สั่งจ่ายเงินจำนวน 300,000 บาท ชำระหนี้ดังกล่าวให้ผู้เสียหายนั้นนางสุวรรณี งานทวี ผู้เสียหายเบิกความว่าผู้เสียหายได้ปิดอากรแสตมป์ในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมายจ.1 ก่อนแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลย ผู้เสียหายไม่ได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ดังกล่าว และศาลฎีกาได้พิเคราะห์หนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวแล้วก็ปรากฏว่าแม้หนังสือสัญญากู้ยืมเงินนั้นมีการติดอากรแสตมป์ แต่ก็ไม่ได้มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์แต่อย่างใดซึ่งในเรื่องการปิดอากรแสตมป์นั้นประมวลรัษฎากร มาตรา 118บัญญัติว่า “ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จะใช้ต้นฉบับคู่ฉบับคู่ฉีกหรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้ และขีดฆ่าแล้ว” และมาตรา 103 อธิบายว่า”ปิดแสตมป์บริบูรณ์” หมายความว่า (1) ในกรณีแสตมป์ปิดทับคือการได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ทับกระดาษก่อนกระทำหรือในทันทีที่ทำตราสารเป็นราคาไม่น้อยกว่าอากรที่ต้องเสียและได้ขีดฆ่าแสตมป์นั้นแล้ว” ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 อันเป็นตราสารที่โจทก์อ้างเป็นพยานได้ปิดอากรแสตมป์แล้วแต่ไม่มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์ จึงต้องถือว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานใดคดีแพ่งได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 เมื่อหนี้เงินกู้ยืมระหว่างจำเลยและโจทก์มีจำนวนมากกว่าห้าสิบบาทและฟังไม่ได้ว่ามีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้เช่นนี้หนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่ไม่สามารถบังคับได้ตามกฎหมายดังนั้น ที่จำเลยออกเช็คเอกสารหมาย จ.2 เมื่อวันที่28 ตุลาคม 2536 มอบให้ผู้เสียหายนั้น แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยเป็นหนี้เงินกู้ตามจำนวนเงินตามเช็คดังกล่าวแก่ผู้เสียหายอยู่และออกเช็คนั้นชำระหนี้ให้แก่ผู้เสียหายก็ตาม แต่เมื่อหนี้นั้นไม่สามารถบังคับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงขาดองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534 มาตรา 4
พิพากษายืน

Share