แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไม่ยอมส่งตัวลูกจ้างที่ขับรถยนต์พิพาทไปเกิดอุบัติเหตุไปให้พนักงานสอบสวนและไม่นำรถยนต์พิพาทไปมอบให้พนักงานสอบสวนต่อมาเมื่อโจทก์และจำเลยเลิกสัญญาเช่าต่อกันและจำเลยมอบรถยนต์พิพาทให้โจทก์แล้วเจ้าพนักงานตำรวจได้มายึดรถยนต์พิพาทไปการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะไม่สามารถนำรถยนต์พิพาทไปให้เช่าได้ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายดังนี้การที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถยนต์พิพาทของโจทก์ไปเป็นการกระทำของเจ้าพนักงานตำรวจตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ตามกฎหมายมิใช่การกระทำของจำเลยจำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2533 จำเลยตกลงเช่ารถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 9 บ-0737 กรุงเทพมหานคร จากโจทก์มีกำหนดระยะเวลาเช่าตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2533 ถึงวันที่ 8 เมษายน2536 อัตราค่าเช่าเดือนละ 9,000 บาท ต่อมาปลายเดือนตุลาคม 2533รถยนต์คันที่จำเลยเช่าไปเกิดอุบัติเหตุและบริษัทประกันภัยได้เข้าดำเนินการซ่อมแซมให้เรียบร้อยแล้วและปลายเดือนธันวาคม 2533โจทก์และจำเลยได้ตกลงเลิกสัญญาเช่ารถยนต์พิพาทโดยโจทก์ทำหนังสือยืนยันเลิกสัญญาเช่าไปเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2533และได้รับรถยนต์พิพาทคืนในเวลาต่อมา และวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2534เจ้าพนักงานตำรวจได้มายึดรถยนต์พิพาทจากโจทก์ โดยอ้างว่าเป็นรถยนต์ที่มีคนขับไปกระทำความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายและผู้อื่นถึงแก่ความตาย การที่จำเลยไม่ยอมส่งตัวลูกจ้างที่ขับรถยนต์พิพาทไปมอบให้พนักงานสอบสวนและไม่นำรถยนต์พิพาทไปมอบให้พนักงานสอบสวนตั้งแต่เมื่อจำเลยยังครอบครองรถยนต์พิพาทตามคำสั่งของพนักงานสอบสวน ต่อมาเมื่อโจทก์และจำเลยเลิกสัญญาเช่าต่อกัน และจำเลยมอบรถยนต์พิพาทให้โจทก์แล้ว เจ้าพนักงานตำรวจได้มายึดรถยนต์ไปอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายเพราะไม่สามารถนำรถยนต์ออกให้เช่าซึ่งจะได้ค่าเช่าเดือนละ 12,000 บาท นับแต่วันที่ถูกยึดรถไปจนถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน 90,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 91,720 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 12,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของค่าเช่าแต่ละเดือนนับแต่เดือนกันยายน 2534 จนกว่าจะชำระเสร็จและได้รับรถยนต์คืนจากพนักงานสอบสวน
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 91,720 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 12,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของค่าเช่าแต่ละเดือน นับแต่เดือนกันยายน 2534เป็นต้นไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2535 ซึ่งครบกำหนดตามสัญญาเช่าคำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเช่าจำนวน67,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยผิดนัดถึงวันฟ้อง และนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์เสร็จ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเท่ากับอัตราค่าเช่าเดือนละ 9,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าโจทก์จะได้รับรถคืนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยได้เช่ารถยนต์พิพาทไปจากโจทก์และรถยนต์คันดังกล่าวเกิดอุบัติเหตุในระหว่างการเช่า หลังจากที่บริษัทประกันภัยได้ดำเนินการซ่อมรถยนต์พิพาทเรียบร้อยแล้ว โจทก์และจำเลยได้เลิกสัญญาเช่าต่อกันก่อนครบกำหนดระยะเวลาเช่าตามที่ตกลงกันไว้ โดยโจทก์ได้รบมอบรถยนต์พิพาทคืนจากจำเลยแล้วต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจได้มายึดรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์โดยอ้างว่าเป็นรถยนต์ที่มีคนขับไปกระทำความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายและผู้อื่นถึงแก่ความตาย เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยไม่ยอมส่งตัวลูกจ้างที่ขับรถยนต์พิพาทไปเกิดอุบัติเหตุไปให้พนักงานสอบสวนและไม่นำรถยนต์พิพาทไปให้พนักงานสอบสวนต่อมาเมื่อโจทก์และจำเลยเลิกสัญญาเช่าต่อกัน และจำเลยมอบรถยนต์พิพาทให้โจทก์แล้วเจ้าหนักงานตำรวจได้มายึดรถยนต์พิพาทไปการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะไม่สามารถนำรถยนต์พิพาทไปให้เช่าได้ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ การที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถยนต์พิพาทของโจทก์ไป เป็นการกระทำของเจ้าพนักงานตำรวจตามอำนาจหน้าที่ที่อยู่ตามกฎหมาย มิใช่การกระทำของจำเลย จำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง