แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องระบุว่า จำเลยมีหน้าที่จะต้องชำระให้แก่โจทก์คิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน 541,563.65 บาท จำเลยมิได้ให้การต่อสู้หรือปฏิเสธคำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำนวนดอกเบี้ยที่ค้างชำระดังกล่าว ถือว่าจำเลยรับข้อเท็จจริงในส่วนนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ข้อเท็จจริงต้องฟังตามคำฟ้องว่าจำเลยค้างชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์จำนวน 541,563.65 บาท โดยไม่ต้องสืบพยาน เมื่อบัญชีเงินกู้เอกสารที่โจทก์นำสืบเป็นพยานหลักฐานเกี่ยวกับจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยค้างชำระ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าบัญชีเงินกู้เป็นเอกสารที่รับฟังไม่ได้เพราะเป็นเอกสารปลอมและเป็นสำเนาไม่ถูกต้องหรือไม่ แม้ศาลล่างทั้งสองจะได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยไม่ชอบในศาลล่างทั้งสองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๓,๗๗๖,๐๒๕.๓๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๓,๒๓๓,๔๖๑.๗๔ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเบี้ยประกันภัยครั้งละ ๖,๓๐๑ บาท ทุก ๓ ปี ต่อครั้ง เริ่มตั้งแต่ปี ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่รับรองการเป็นนิติบุคคลของโจทก์ เพราะไม่ปรากฏหลักฐานใดแสดงสถานภาพของโจทก์ นายสิทธิชัย ตันติ์พิพัฒน์ ไม่ใช่ผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๓,๗๗๕,๐๒๕.๓๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๓,๒๓๓,๔๖๑.๗๔ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๓๙ ) เป็นต้นไปจนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๖๐๐๘ ตำบลสวนหลวง (พระโขนงฝั่งใต้) อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ กับให้จำเลยใช้ ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาท คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๓๖ จำเลยทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ครบถ้วนจำนวน ๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๙ ต่อปี และจดทะเบียนจำนองที่ดิน ๑ แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันกู้เงินดังกล่าวไว้แก่โจทก์ในวงเงิน ๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๙ ต่อปี หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ยินยอมรับผิดชดใช้เงินส่วนที่ขาดไปแก่โจทก์จนครบถ้วน
คดีมีปัญหาตามที่จำเลยฎีกาว่า บัญชีเงินกู้เป็นเอกสารปลอมและเป็นสำเนาไม่ถูกต้อง จึงเป็นเอกสารที่รับฟังไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๓ นั้น เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องระบุว่า จำเลยมีหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่โจทก์คิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน ๕๔๑,๕๖๓.๖๕ แต่ปรากฏว่าจำเลยมิได้ให้การต่อสู้หรือปฏิเสธคำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำนวนดอกเบี้ยที่ค้างชำระดังกล่าวแต่ประการใดเลย ดังนั้น จึงถือว่าจำเลยรับข้อเท็จจริงในส่วนนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง ข้อเท็จจริงต้องฟังตามคำฟ้องว่าจำเลยค้างชำระ ดอกเบี้ยแก่โจทก์จำนวน ๕๔๑,๕๖๓.๖๕ บาท โดยไม่ต้องสืบพยาน เมื่อบัญชีเงินกู้ที่โจทก์นำสืบเป็นพยานหลักฐาน เกี่ยวกับจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยค้างชำระ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าบัญชีเงินกู้เป็นเอกสารที่รับฟังไม่ได้เพราะเป็นเอกสารปลอมและเป็นสำเนาไม่ถูกต้องหรือไม่ แม้ศาลทั้งสองจะได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาควาแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ