คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 581/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามสัญญาระบุว่า เงินที่เหลืออีก 20,000 บาท ผู้จะซื้อจะชำระแก่ผู้จะขายในวันโอนสิทธิครอบครองทางทะเบียน โจทก์จำเลยได้ยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนต่อนายอำเภอและได้ประกาศเรื่องขอขายที่ดินแล้ว แต่จำเลยไม่ไปทำการจดทะเบียนให้โจทก์ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจะนำสืบว่าตกลงชำระค่าที่ดินที่เหลือภายในวันที่ 17 เมษายน 2526 ต่างจากวันที่ที่ขอทำการโอนดังกล่าวไม่ได้เพราะเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร.(ที่มา-เนติ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินแก่โจทก์ในราคา30,000 บาท โจทก์ชำระเงินมัดจำ 10,000 บาท ที่เหลือตกลงชำระในวันจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองต่อมาจำเลยไม่จัดการโอนที่ดินให้ขอให้บังคับจำเลยไปจัดการโอนที่ดินแก่โจทก์จำเลยให้การว่าตามสัญญาจะซื้อจะขายกำหนดให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่เหลือภายในวันที่ 17 เมษายน 2526 แต่โจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระ จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาและริบมัดจำ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมขายที่ดินตามฟ้องให้โจทก์หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยให้จำเลยรับค่าที่ดินที่ค้างชำระอยู่จำนวน 20,000 บาท จากโจทก์จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ‘ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ในราคา 30,000 บาท วางมัดจำไว้แล้ว10,000 บาท โจทก์จะต้องชำระค่าที่ดินที่เหลือให้แก่จำเลยอีก20,000 บาท จำเลยมิได้ฎีกาในข้อนี้ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาคงมีปัญหาพิจารณาตามฎีกาของจำเลยว่าโจทก์ไม่ชำระค่าที่ดินที่เหลือแก่จำเลยภายในวันที่ 17เมษายน 2526 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาสัญญาจะซื้อขายจึงระงับไปโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นปรากฏตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 2ความว่าเงินที่เหลืออีก 20,000 บาทผู้จะซื้อ (โจทก์) จะชำระแก่ผู้จะขาย (จำเลย) ในวันโอนสิทธิครอบครองทางทะเบียนและได้ความจากพยานโจทก์ประกอบเอกสารว่าโจทก์จำเลยได้ยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิ์ในที่ดินต่อนายอำเภอเมืองอุบลราชธานีตามเอกสารหมาย จ.4 นายอำเภอเมืองอุบลราชธานีได้ออกประกาศเรื่องมีผู้ขอขายที่ดินตามเอกสารหมาย จ.6 แล้วไม่มีผู้คัดค้านแต่จำเลยไม่ไปทำการโอนที่ดินตามเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมดังกล่าวให้แก่โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ข้อที่จำเลยนำสืบอ้างว่าตกลงชำระค่าที่ดินที่เหลือภายในวันที่ 17 เมษายน 2526 นั้น เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารรับฟังไม่ได้เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาดังกล่าวแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับเงินค่าที่ดินที่เหลือ 20,000 บาท และโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์นั้นชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืนให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 600 บาท แทนโจทก์.

Share