แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้เพิ่ม 5,680.68 บาทโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ศาลพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้
เงินที่นายจ้างออกชำระภาษีแทนลูกจ้างต้องนำมารวมเป็นเงินได้เพื่อคำนวณภาษีตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 40(1) ครั้งเดียว แต่จะคำนวณซ้ำแล้วซ้ำอีกถึง 17 ครั้งไม่ได้นายจ้างอุทธรณ์การประเมินได้เช่นเดียวกับลูกจ้าง
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกเลิกเพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยเฉพาะปัญหากฎหมายและพิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีนี้จะอุทธรณ์ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบด้วยมาตรา 257 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ในปี พ.ศ. 2511 นาย ดี.เจ. ฮอดเจส เป็นลูกจ้างของโจทก์ และมีรายรับที่ได้จากโจทก์ในปีดังกล่าวเป็นค่าจ้าง 197,338 บาท 20 สตางค์ ค่าเช่าบ้าน 63,600 บาท รวมเป็นเงินที่รับจากโจทก์ทั้งสิ้น 260,438 บาท20 สตางค์ โจทก์เป็นผู้ชำระภาษีเงินได้แทนนาย ดี.เจ. ฮอดเจส ลูกจ้าง นาย ดี.เจ. ฮอดเจส พ้นจากหน้าที่และเดินทางหลับไปประเทศอังกฤษแล้วเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2514 นาย ดี.เจ. ฮอดเจส ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้ประจำปี พ.ศ. 2511 และนำเงินภาษีเงินได้จำนวน 62,031 บาท 88 สตางค์ ส่งต่อจำเลยแล้ว ต่อมาวันที่ 23 สิงหาคม 2514 เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้ที่ยังขาด และเงินเพิ่มแทนนาย ดี.เจ. ฮอดเจสเป็นเงิน 9,027 บาท 23 สตางค์ โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยยกอุทธรณ์โจทก์ ให้โจทก์นำเงินภาษีเงินได้และเงินเพิ่มไปชำระแทนนาย ดี.เจ. ฮอดเจส รวมเป็นเงิน 5,680 บาท 68 สตางค์
จำเลยฎีกาข้อ 2(2) ว่า การคำนวณภาษีเงินได้ที่นายจ้างออกแทนให้ตามวิธีการของโจทก์ โดยคำนวณเพียง 2 ครั้งตามฟ้องนั้นยังไม่ถูกต้อง จะต้องคำนวณซ้ำเช่นนี้อยู่เรื่อยไปจนยอดเงินภาษีที่คำนวณได้จะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้วถือยอดสุดท้ายเป็นจำนวนภาษีเงินได้ที่นายจ้างออกให้ลูกจ้างอย่างแท้จริงสำหรับคดีนี้ต้องคำนวณ 17 ครั้ง ปรากฏตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1นั้น เห็นว่า เงินที่นายจ้างออกให้เป็นค่าภาษีเงินได้ของลูกจ้าง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 40(1) จะทราบว่าเป็นเงินได้จำนวนเท่าใด จะต้องทราบเสียก่อนว่าหากนายจ้างมิได้ออกค่าภาษีเงินได้ให้ ลูกจ้างผู้นั้นจะต้องเสียภาษีเงินได้จากเงินได้พึงประเมินของตนเป็นจำนวนเท่าใด และภาษีเงินได้ซึ่งลูกจ้างจะต้องเสียจำนวนนี้ หากนายจ้างจะออกให้ก็จะต้องนำมารวมกับเงินได้พึงประเมินเดิมของลูกจ้างเพื่อถือเป็นเงินได้พึงประเมินทั้งสิ้นของลูกจ้างผู้นั้น ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 40(1) แต่จะคำนวณทำนองนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนยอดเงินภาษีเงินได้ที่นายจ้างออกแทนจะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ดังปรากฏรายละเอียดตามวิธีการคำนวณภาษีของเจ้าหน้าที่จำเลย เอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1 หาได้ไม่ เพราะการคำนวณวิธีนั้นจะเป็นการคำนวณภาษีเงินได้ในอัตราที่สูงกว่าอัตราภาษีเงินได้ที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีเงินได้ของประมวลรัษฎากร ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1675/2518 ระหว่างบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด โจทก์ กรมสรรพากร จำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าการคำนวณภาษีเงินได้ที่นายจ้างออกแทนให้ตามวิธีการของโจทก์ดังที่กล่าวมาในฟ้องถูกต้องชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาข้อ 2(3) ว่า จำเลยเรียกให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้ของลูกจ้างในฐานะที่โจทก์หักภาษีเงินได้ของลูกจ้างไว้ไม่ครบถ้วนตามมาตรา 54 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งไม่มีบทบัญญัติให้โจทก์มีอำนาจอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์และไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์จะมิใช่เป็นผู้มีเงินได้ก็ตาม แต่โจทก์ก็มีหน้าที่ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 50 ที่จะต้องหักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมินให้แก่ลูกจ้างของโจทก์ และจะต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างของโจทก์ผู้มีเงินได้ในการเสียภาษีที่จะต้องชำระตามจำนวนเงินภาษีที่มิได้หักและนำส่งหรือตามจำนวนที่ขาดไป ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 54 ฉะนั้นในกรณีเช่นนี้โจทก์จึงมีฐานะเช่นเดียวกับผู้มีเงินได้ จึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และมีอำนาจฟ้อง”
พิพากษายืน