คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5786/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อ.เป็นพนักงานอัยการ มีอำนาจที่จะรับว่าต่างคดีให้โจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาได้ตาม พระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ. 2498 มาตรา 11(5)และอ.ได้รับเป็นทนายความว่าต่างให้โจทก์แล้วตามใบแต่งทนายความในสำนวนคดีนี้ อ.จึงมีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ รวมทั้งการเรียงคำฟ้องแทนโจทก์ได้โดย ไม่จำต้องระบุถึงฐานะเช่นนั้นในช่องผู้เรียกคำฟ้องอีก จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิได้รับเงินค่าเช่าฉาง และค่ากรรมกรขนข้าวเปลือกจากโจทก์มากกว่าจำนวนที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีมีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง จำเลยให้การว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดเพื่อการที่ทรัพย์ขาดตกบกพร่อง หรือขอให้ใช้ราคาทรัพย์และค่าเสียหายเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เวลาที่ส่งมอบ มิใช่เป็นการอ้างอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 ที่จำเลยฎีกาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของ รัฐบาล พ.ศ. 2496โดยจัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การตลาดเพื่อการเกษตรพ.ศ. 2517 โจทก์ได้เช่าฉาง จากจำเลยเพื่อฝากเก็บข้าวเปลือกพยุงราคามีกำหนด 12 เดือน และโจทก์ได้นำข้าวเปลือกเข้าเก็บในฉาง รวม 1,637,129 กิโลกรัม แต่ปรากฏว่าข้าวเปลือกจำนวน 80,161.42 กิโลกรัม ขาดหายไปจากฉางคิดเป็นเงิน 230,689.06 บาท จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์ ตามสัญญา แต่จำเลยมีสิทธิได้รับค่าเช่าฉาง และค่ากรรมกรขนข้าวเปลือกจากโจทก์จำนวน 92,100.80 บาท หักภาษี ณ ที่จ่ายเสีย 921.01 บาทคงเหลือ 91,179.79 บาท เมื่อหักทอนกันแล้วจำเลยต้องชำระเงินให้โจทก์ 139,509.27 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2524 อันเป็นวันสิ้นสุดสัญญาเฉพาะดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 98,528.41 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 238,037.78 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีในเงินต้น 139,509.27 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า เรืออากาศเอกประทีป จันทรยุคล ไม่มีอำนาจเรียงคำฟ้องและลงชื่อในคำฟ้องแทนโจทก์ หากจำเลยจะต้องรับผิดเพราะข้าวเปลือกขาดหายไปก็คิดเป็นเงินไม่เกิน 91,179.79 บาท เมื่อหักกับเงินค่าเช่าฉาง และค่ากรรมกรขนข้าวเปลือกที่จำเลยมีสิทธิได้รับจากโจทก์แล้ว จึงไม่มีหนี้สินที่จำเลยจะต้องชดใช้ให้โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเพราะจำเลยไม่เคยผิดนัดและโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดเพื่อการที่ทรัพย์ขาดตกบกพร่องหรือขอให้ใช้ราคาทรัพย์และค่าเสียหาย เมื่อพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่เวลาที่ส่งมอบ คดีโจทก์จึงขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 139,509.27 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2528 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าเรืออากาศเอกประทีป จันทรยุคล ลงชื่อเป็นผู้เรียงคำฟ้องโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นทนายความหรือพนักงานอัยการ หรือผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนโจทก์ จึงเท่ากับว่าเรืออากาศเอกประทีป ลงชื่อเป็นผู้เรียงคำฟ้องในฐานะส่วนตัวอันเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบ นั้น เห็นว่า เรืออากาศเอกประทีปเป็นพนักงานอัยการ มีอำนาจที่จะรับว่าต่างคดีนี้ให้โจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาได้ตามพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ. 2498 มาตรา 11(5) และเรืออากาศเอกประทีปได้รับเป็นทนายความว่าต่างให้โจทก์แล้วตามใบแต่งทนายความ ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2533 ในสำนวนคดีนี้เรืออากาศเอกประทีปจึงมีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ รวมทั้งการเรียงคำฟ้องแทนโจทก์ได้ โดยไม่จำต้องระบุถึงฐานะเช่นนั้นในช่องผู้เรียงคำฟ้องอีก คำฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิได้รับเงินค่าเช่าฉาง และค่ากรรมกรขนข้าวเปลือกรวมจำนวน 232,500 บาท จากโจทก์ มิใช่เพียงจำนวน 91,179.79 บาท นั้น เห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อคดีมีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 นั้น เห็นว่า จำเลยให้การว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดเพื่อการที่ทรัพย์ขาดตกบกพร่อง หรือขอให้ใช้ราคาทรัพย์และค่าเสียหายเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เวลาที่ส่งมอบ ซึ่งเห็นได้ว่ามิใช่เป็นการอ้างอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share