แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงอีกฝ่ายหนึ่งในขณะวิวาทกันถูกข้อมือกระดูกแตกและยังมีบาดแผลที่หางคิ้วและเหนือใบหูขวาอีกด้วยดังนี้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาจะฆ่าให้ตายหากกระสุนไม่ถูกอวัยวะที่สำคัญจำเลยต้องมีความผิดตาม มาตรา24960
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำร้ายซึ่งกันและกันโดยจำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิงจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ใช้มีดฟันจำเลยที่ 1 จนต่างได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยจำเลยต่างมีเจตนาจะฆ่าซึ่งกันและกัน ขอให้ลงโทษ
จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าจำเลยที่ 2 กับพวก รุมทำร้ายก่อน จำเลยที่ 1 ชักปืนมาเพื่อป้องกันแล้วบังเอิญพวกของจำเลยที่ 2 ใช้ไม้ตีถูกนกปืนเข้าจึงลั่นถูกจำเลยที่ 2 โดยมิได้ตั้งใจจะยิงผู้ใด
จำเลยที่ 2 รับว่าทำร้ายจำเลยที่ 1 เพราะจำเลยที่ 1 ยิงก่อน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองผิดตามมาตรา 256 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี 6 เดือนปรานีลดตามมาตรา 59 กึ่งหนึ่งคงจำคุกไว้1 ปี 3 เดือน ฯลฯ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้อง และคัดค้านว่าไม่ควรลดโทษฐานปรานีให้แก่จำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ขอความกรุณาในเรื่องกำหนดโทษ และขอให้รอการลงโทษไว้ก่อน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่เฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ว่าผิดตามมาตรา 249-60 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 10 ปีนอกนั้นยืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีเป็นปัญหาเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ว่าควรจะมีความผิดฐานใดหรือไม่เท่านั้น และฟังว่าจำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิงจำเลยที่ 2 ในขณะที่โต้เถียงกันอยู่และเห็นว่าจำเลยที่ 1 ใช้ปืนที่เป็นอาวุธที่ร้ายแรงยิงเขา กระสุนถูกที่ข้อมือถึงกระดูกข้อมือแตกและยังมีบาดแผลที่หางคิ้วและเหนือใบหูขวาอีกต้องแสดงว่าจำเลยมีเจตนาจะฆ่าให้ตายหากแต่กระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะที่สำคัญ จึงต้องเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าคนตาย
พิพากษายืน