แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2เอาประกันภัยค้ำจุนไว้กับจำเลยที่ 3 สำหรับรถยนต์คันเกิดเหตุ ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ชนถูกรถยนต์ที่โจทก์กับพวกโดยสารมาพลิกคว่ำที่ถนนบริเวณพุทธมณฑล ตำบลศาลายา อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องเสียค่ารักษาพยาบาล และต้องขาดประโยชน์ทางทำมาหาได้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามให้รับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ได้ความชัดว่าโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์ที่โจทก์โดยสารมา ณ สถานที่ใด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไร ทั้งจำเลยทั้งสามต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพราะเหตุใด เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว การที่ฟ้องโจทก์มิได้กล่าวว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ด้วยอาการอย่างไร ถนนที่เกิดเหตุเป็นถนนสายใดในบริเวณพุทธมณฑลนั้นไม่เป็นข้อสำคัญถึงขนาดจะทำให้จำเลยทั้งสามไม่เข้าใจข้อหาได้ ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน๘๓ – ๑๙๗๗ กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้เอาประกันภัยค้ำจุนไว้กับจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจนชนถูกรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๔ ข – ๐๒๕๓ กรุงเทพมหานครพลิกคว่ำที่ถนนบริเวณพุทธมณฑล ตำบลศาลายา อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ทำให้โจทก์กับพวกซึ่งโดยสารมากับรถยนต์คันดังกล่าวได้รับอันตรายสาหัส แล้วจำเลยที่ ๑ หลบหนีไป ต่อมาจำเลยที่ ๑ถูกดำเนินคดีอาญาฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับอันตรายสาหัส ศาลจังหวัดนครปฐมพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ให้จำคุก ๖ เดือน ๑๕ วัน การกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลรวม ๖๑,๑๑๓ บาท ปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้อง และต้องเสียค่าผ่าตัดและทำกายภาพบำบัดอีกเป็นเงินอย่างต่ำ ๔๐,๐๐๐ บาท หลังเกิดเหตุโจทก์ทำงานไม่ได้ต้องถูกออกจากงาน ทำให้ขาดประโยชน์ทางทำมาหาได้ในอนาคตคิดเป็นเงิน๑๐๐,๐๐๐ บาท รวมค่าเสียหาย ๒๐๑,๑๑๓ บาท ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่บรรยายว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถด้วยความประมาทอย่างไร เหตุที่รถชนกันเพราะความประมาทของโจทก์เอง เพราะโจทก์ขับรถออกจากจุดที่จอดริมถนนที่เกิดเหตุเลี้ยวตัดหน้ารถของจำเลยที่ ๑ อย่างกระชั้นชิดโดยไม่ระมัดระวัง จำเลยที่ ๑ ไม่สามารถหยุดรถได้ทัน โจทก์เสียหายอย่างมากไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถด้วยความประมาทอย่างไรจึงเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสทำให้จำเลยที่ ๓ เสียเปรียบไม่อาจต่อสู้คดีได้ เป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์เสียหายไม่เกิน๑๐,๐๐๐ บาท หากจำเลยที่ ๓ ต้องรับผิดต่อโจทก์ ค่าเสียหายไม่เกินวงเงินตามตารางกรมธรรม์ไม่เกิน ๒๕,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา พิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามฟ้องของโจทก์บรรยายความว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ได้เอาประกันภัยค้ำจุนไว้กับจำเลยที่ ๓ สำหรับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุ ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ได้ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ชนถูกรถยนต์เก๋งที่โจทก์กับพวกโดยสารมาพลิกคว่ำที่ถนนบริเวณพุทธมณฑล ตำบลศาลายา อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องเสียค่ารักษาพยาบาล และต้องขาดประโยชน์ทางทำมาหาได้ จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสามให้รับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ ได้ความชัดแล้วว่า โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุกโดยประมาทชนรถยนต์เก๋งที่โจทก์โดยสารมา ณ สถานที่ใด และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไรกับทั้งจำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพราะเหตุใด นับว่าโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง แล้ว ส่วนการที่ฟ้องโจทก์มิได้กล่าวว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุกด้วยอาการอย่างไร และถนนที่เกิดเหตุเป็นถนนสายใดในบริเวณพุทธมณฑลนั้น ไม่เป็นข้อสำคัญจนถึงขนาดจะทำให้จำเลยทั้งสามไม่สามารถเข้าใจข้อหาได้
พิพากษายืน.