แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ศาลชั้นต้นจะส่งหนังสือสัญญากู้เงินฉบับพิพาทไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้หรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่มีอำนาจกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสอง เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยที่นำสืบมาเพียงพอที่จะ วินิจฉัยได้ โดยไม่ต้องส่งหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้อีก คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว มิใช่เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 5,043,150.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 5,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ขัดกับเหตุผล ข้อเท็จจริงฟังว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 มิใช่เอกสารปลอม ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่ส่งหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้ว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยหรือไม่ เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนั้น ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหานี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นจะส่งหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้หรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่มีอำนาจกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสอง มิใช่เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายแต่ประการใด และศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยที่นำสืบมาเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้แล้ว โดยไม่ต้องส่งหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้อีก คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน