แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานปลอมตนไปกระทำการเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา127นั้น กฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าผู้กระทำจะต้องแต่งเครื่องแบบเจ้าพนักงานด้วย
เมื่อคดีได้ความชัดว่าจำเลยทุกคนกับพวกสมคบกันมากระทำการโจรกรรมโดยมีแผนการณ์ว่าเป็นเจ้าพนักงานจะขอตรวจค้นปืนของผิดกฎหมาย แล้วได้ดำเนินการโจรกรรมตามอุบายนี้ฉะนั้นจำเลยอื่นที่มิได้แต่งเครื่องแบบเจ้าพนักงาน(ตำรวจ)ก็ย่อมมีความผิดฐานเป็นตัวการปลอมตนมากระทำการเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา 127 เช่นเดียวกับจำเลยที่แต่งเครื่องแบบด้วยและเมื่อคดีได้ความว่าก่อนลงมือปล้นจำเลยกับพวกทุกคนได้ยินยอมให้คนบนบ้านไปตามผู้ตายซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านมารู้เห็นในการที่จำเลยกับพวกจะทำการตรวจค้น ดังนี้ก็เห็นได้ว่าจำเลยกับพวกได้พร้อมใจกันที่จะทำการต่อต้านขัดขวางในเมื่อผู้ใหญ่บ้านจะกระทำการตามหน้าที่ด้วยอุบายจะยึดตัวผู้ตายหรือต่อสู้ทำร้ายก็แล้วแต่เหตุการณ์ฉะนั้นเมื่อจำเลยคนใดยิงผู้ใหญ่บ้าน การกระทำนั้นก็อยู่ในแผนการณ์ที่พวกจำเลยทุกคนร่วมรู้ก่อนแล้วนั่นเองจำเลยทุกคนย่อมได้ชื่อว่าเป็นตัวการในการฆ่าผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่ด้วย ผิดกับเรื่องสมคบกันไปปล้นเอาทรัพย์อย่างเดียวโดยเฉพาะ แต่ผู้ร้ายบางคนเกิดไปยิงใครตายขึ้นโดยเพื่อนผู้ร้ายอื่นไม่อาจคาดหมายได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกอีก 2 คนซึ่งยังหลบหนีได้สมคบกันปล้นทรัพย์ของนายยน นายตี๋ โดยจำเลยกับพวกแต่งกายด้วยเครื่องแบบตำรวจปลอมตนไปกระทำการเป็นเจ้าพนักงานและใช้ปืนยิงนายตี๋เจ้าทรัพย์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน (ผู้ใหญ่บ้าน) มากระทำการตามหน้าที่อันชอบด้วยกฎหมายตาย ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 301, 250, 249, 127, 128, 43 และ 63 ฯลฯ
จำเลยทุกคนปฏิเสธ
ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาฟังว่า นายสวัสดิ์จำเลยแต่งเครื่องแบบตำรวจสมคบกับนายฉาย นายแช่ม ทำการปล้นทรัพย์จริงดังฟ้องแต่ข้อหาที่ว่าได้ฆ่านายตี๋ มูสิกา ผู้ใหญ่บ้านและปล้นเอาปืนของนายตี๋ไปสองกระบอกนั้น พยานโจทก์ว่าผู้ร้ายที่แต่งตำรวจเป็นคนยิงนายตี๋ตายนั้น เห็นว่าแม้จะเป็นผู้ร้ายที่มากับจำเลย แต่จะให้เข้าใจว่าจำเลยได้สมคบด้วยยังไม่ถนัด เพราะตามพฤติการณ์แล้วพวกจำเลยทั้งห้าคนมุ่งหมายมาปล้นทรัพย์นายยนคนเดียว นายตี๋ผู้ตายมาทีหลัง พวกของจำเลยเข้าแย่งปืนของนายตี๋จากคนกลาง แต่นายตี๋แย่งได้ก่อนแล้วถอยห่างออกไป พวกจำเลยก็ยิงเอาโดยจำเลยคนใดคนหนึ่งมิได้รู้เห็นด้วย ตามรูปเรื่องก็น่าจะเป็นนายตี๋จะยิงพวกของจำเลยพวกของจำเลยจึงยิงนายตี๋เสียก่อน ดังนี้จำเลยทั้งสามหาต้องรับผิดฐานสมคบในการยิงด้วยไม่ พิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 301 นายสวัสดิ์จำเลยผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 127, 128 ด้วย แต่ให้รวมลงโทษโดยจำคุกคนละ 12 ปี ลดตามมาตรา 59 ให้ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 8 ปี ปอกะเจาไม่ริบ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 20,070 บาท ข้อหาอื่นยก
อัยการโจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานสมคบกันกระทำผิดดังฟ้องทุกข้อหา ฯลฯ
ฝ่ายจำเลยแยกกันอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง แต่อุทธรณ์ของนายแช่มจำเลยยื่นเมื่อพ้นกำหนดแล้วศาลชั้นต้นสั่งรับแต่อุทธรณ์ของนายสวัสดิ์และนายฉายจำเลย ศาลอุทธรณ์เชื่อว่าจำเลยกระทำผิดจริงตามฟ้อง แต่จำเลยคนใดจะมีความผิดฐานใดเพียงไรตามอุทธรณ์ของโจทก์นั้น เห็นว่าเรื่องการปลอมตนไปกระทำการเป็นเจ้าพนักงานนั้น คดีได้ความชัดว่า จำเลยทุกคนกับพวกที่ยังจับไม่ได้สมคบกันมากระทำโจรกรรมโดยมีแผนการณ์ว่าเป็นเจ้าพนักงานจะขอตรวจค้นปืนที่อ้างว่าตกอยู่กับนายยน นายผัน โดยผิดกฎหมาย แล้วในที่สุดก็ได้เริ่มดำเนินการโจรกรรมด้วยอุบายนี้ ฉะนั้นแม้นายแช่มนายฉายจะมิได้แต่งเครื่องแบบตำรวจ แต่เมื่อได้ร่วมกับพรรคพวกมากระทำการเป็นเจ้าพนักงานด้วยกัน จำเลยสองคนนี้ก็มีความผิดฐานเป็นตัวการปลอมตนมากระทำการเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 127 ซึ่งมาตรานี้หาได้บัญญัติว่าผู้กระทำผิดจะต้องแต่งเครื่องแบบเจ้าพนักงานด้วยไม่
ส่วนความผิดฐานสมคบกันทำการปล้นทรัพย์และฆ่าเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่นั้น เห็นว่าก่อนลงมือปล้นจำเลยกับพวกทุกคนได้ยินยอมพร้อมใจกันให้นางโอดไปตามนายตี๋ผู้ตายซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านมารู้เห็นในการที่พวกจำเลยจะทำการตรวจค้นก็เห็นได้ว่าจำเลยกับพวกได้พร้อมใจกันที่จะทำการต่อต้านขัดขวาง ในเมื่อนายตี๋จะกระทำการตามหน้าที่ซึ่งจะเป็นการใช้อุบายยึดตัวนายตี๋เสียอีกหรือเกิดการต่อสู้ทำร้ายก็แล้วแต่เหตุการณ์ ฉะนั้นการที่พวกจำเลยยิงนายตี๋ก็อยู่ในแผนการณ์ที่พวกจำเลยทุกคนร่วมรู้อยู่ก่อนแล้วนั่นเองจึงผิดกับเรื่องสมคบกันไปปล้นเอาทรัพย์อย่างเดียวโดยเฉพาะ แต่ผู้ร้ายบางคนเกิดไปยิงใครตายขึ้นโดยเพื่อนผู้ร้ายอื่นไม่อาจคาดหมายได้ อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น จำเลยทุกคนเป็นตัวการในการฆ่านายตี๋ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมากระทำการตามหน้าที่ตาย ส่วนข้อที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาปืนของนายตี๋นั้นคดีฟังได้ว่าจำเลยแย่งปืนไปเพียงกระบอกเดียว พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยทุกคนมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 301 ประกอบด้วยกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 250 ข้อ 2 กระทงหนึ่ง ผิดฐานปลอมตนไปกระทำการเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา 127 กระทงหนึ่ง โดยเฉพาะนายสวัสดิ์จำเลยผิดฐานแต่งกายใช้เครื่องยศสำหรับเจ้าพนักงานตามมาตรา 128 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย แต่เห็นสมควรให้รวมกระทงลงโทษจำเลยตามมาตรา 250 กระทงเดียว ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสาม จำเลยรับสารภาพชั้นสอบสวนปรานีลดให้ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้คนละ 20 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาปืนของนายตี๋ 1 กระบอกเป็นเงิน 2,500 บาท นอกจากนี้ยืน
นายสวัสดิ์ นายฉายฎีกาว่า ข้อเท็จจริงยังไม่ควรฟังลงโทษจำเลยและฎีกาในข้อกฎหมายเท็จจริงและข้อกฎหมายทุกประการแล้ว พิพากษายืนให้ยกฎีกาจำเลย