คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5733/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเคยโกรธเคืองผู้ตายที่ไม่ยอมให้จำเลยเหมารอบรำวงถึง กับชักอาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าก่อนเกิดเหตุประมาณ 27-28 วัน ในวันเกิดเหตุผู้ตายไปนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่ร้านอาหารซึ่งมีจำเลยกับพวกนั่งอยู่ก่อน ต่อมาจำเลยได้เดินมาทางด้านหลังของผู้ตายและพูดว่าเฮ้ยนักเลงหรือไง พร้อมกับใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายด้านหลังถึงแก่ความตาย ดังนี้ผู้ตายพบจำเลยโดยบังเอิญจำเลยอาจมีความเจ็บแค้นผู้ตายมาก่อนที่ขัดขวางไม่ยอมให้จำเลยเหมารอบรำวงซึ่งเวลาได้ผ่านพ้นไปแล้วนานเกือบเดือน ความโกรธแค้นน่าจะลดหายไปไม่ปรากฏว่าจำเลยมีความอาฆาตคอยติดตามเพื่อจะทำร้ายผู้ตายอีก ที่จำเลยพบผู้ตายในคืนเกิดเหตุ ความแค้นที่เคยมีต่อผู้ตายอาจเกิดขึ้นกะทันหันก็ได้พฤติการณ์แห่งคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีแผนการอย่างหนึ่งอย่างใดไว้ล่วงหน้าหรือไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อที่จะฆ่าผู้ตาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนีอีก ๑ คน ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายปรับ เพชรต้อม โดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจนถึงแก่ความตายทันทีขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๘๙, ๘๓, ๗๘ ให้ริบปลอกกระสุนปืน ตะกั่วกระสุนปืนของกลาง ให้คืนรองเท้าแตะ ๑ คู่แก่เจ้าของ
ครั้งแรกจำเลยให้การปฏิเสธ ครั้นสืบพยานโจทก์ได้หลายปาก จำเลขขอถอนคำให้การที่ปฏิเสธ และให้การใหม่ว่าขอให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙, ๘๓ ให้ประหารชีวิต แต่เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา กรณีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ประกอบกับ มาตรา ๕๒ ให้จำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิต ริบปลอกกระสุนปืน ตะกั่วกระสุนปืน คืนรองเท้าแตะแก่เจ้าของ
โจทก์จำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๔๕
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๘๓ ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ประกอบด้วยมาตรา ๕๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑ คงจำคุก ๓๓ ปี ๔ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงฟังได้เบื้องต้นว่า ก่อนวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๒๗ ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุนานประมาณ ๒๗-๒๘ วัน ได้มีงานฝังลูกนิมิตที่วัดยานใหญ่ และมีมหรสพกับรำวงในงานด้วย โดยนายปรับ เพชรต้อม ผู้ตายเป็นผู้จัดการรำวง ขณะมีการรำวง จำเลยขอเหมารอบรำวงกับผู้ตายและไม่ให้เงิน ผู้ตายไม่ยอม เป็นเหตุให้จำเลยโกรธผู้ตายถึงกับชักอาวุธปืนยิงขึ้นฟ้า ครั้นวันเกิดเหตุเวลาประมาณ ๒๑ นาฬิกา นายจำรัสเพชรต้อม กับนายวิเชียร เชื่อมชิต พากันไปรับประทานอาหารข้าวต้มที่ร้านทวีชัยตำบลหนองเต่า อำเภอเก้าเลี้ยว มีบุคคลอื่น ๆ หลายคนนั่งรับประทานอาหารอยู่แล้ว ๓-๔ โต๊ะ และโต๊ะหนึ่งเป็นโต๊ะของจำเลยกับพวกประมาณ ๕ คน หลังจากนั้นประมาณ ๓๐ นาที มีนายสวรรค์ เชื่อมชิต กับผู้ตายมาตามหานายวิเชียร นายจำรัสได้ชวนนายสวรรค์กับผู้ตายให้ร่วมรับประทานอาหารด้วย จนกระทั่งเวลา ๒๓ นาฬิกา จำเลยได้เดินมาทางด้านหลังของผู้ตายและพูดว่า เฮ้ย นักเลงหรือไงพร้อมกับใช้อาวุธปืนยิงถูกด้านหลังผู้ตายจนล้มลงทั้งเก้าอี้จนถึงแก่ความตายทันทีแล้วจำเลยจึงขึ้นรถจักรยานยนต์หลบหนีไป ศาลล่างทั้งสองพิจารณาและพิพากษาต้องกันว่าจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย ปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพผู้ตายของเจ้าพนักงานและแพทย์ท้ายฟ้องจริง มีข้อวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยการไตร่ตรองไว้ก่อนตามฟ้องโจทก์หรือไม่เห็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยกับพวกได้นั่งรับประทานอาหารอยู่ในร้านทวีชัยก่อนส่วนผู้ตายไปตามหานายวิเชียรที่ร้านอาหารดังกล่าว จึงพบจำเลยโดยบังเอิญจำเลยอาจมีความเจ็บแค้นผู้ตายมาก่อนที่ขัดขวางไม่ยอมให้จำเลยเหมารอบรำวงซึ่งเวลาได้ผ่านพ้นไปแล้วนานเกือบเดือน ความโกรธแค้นน่าจะลดหายไป เนื่องจากหลังจากเหตุครั้งนั้นผ่านไปแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีความอาฆาตคอยติดตามเพื่อจะทำร้ายผู้ตายอีก ที่จำเลยพบผู้ตายในคืนเกิดเหตุความแค้นที่เคยมีต่อผู้ตายอาจเกิดขึ้นกะทันหันก็ได้ พฤติการณ์แห่งคดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีแผยการอย่างหนึ่งอย่างใดไว้ล่วงหน้า หรือไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อที่จะฆ่าผู้ตาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share