คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5729/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พยานหลักฐานของโจทก์คงมีเพียงคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 และแถบบันทึกภาพ (วิดีโอ) การสอบสวนผู้เสียหายที่ 1 แม้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวเสมือนหนึ่งเป็นคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ในชั้นพิจารณาของศาลได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 ตรี วรรคสี่ แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบประกอบให้รับฟังได้ว่า คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 และแถบบันทึกภาพ (วิดีโอ) การสอบสวนผู้เสียหายที่ 1 ดังกล่าวน่าเชื่อถือ พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังลงโทษจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 282, 283 ทวิ, 319 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6, 52
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสอง, 283 ทวิ วรรคแรก, 319 วรรคแรก พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคสอง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6 (1), 52 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานเพื่อให้สนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาหรือชักพาไปเพื่อการอนาจาร ซึ่งบุคคลอายุเกินกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสอง ฐานพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ทวิ วรรคแรก ฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไป ซึ่งบุคคลอายุเกินกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี เพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณี แม้บุคคลนั้นจะยินยอมก็ตาม ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคสอง และฐานค้ามนุษย์ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6 (1), 52 วรรคสอง เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 15 กระทง เป็นจำคุก 75 ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครองและผู้ดูแลเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 15 กระทง เป็นจำคุก 30 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกจำเลยมีกำหนด 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3)
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นมารดาของเด็กหญิง พ. ขณะเกิดเหตุอายุ 13 ปีเศษ นางสาวภัทราดาหรือฟาง ผู้เสียหายที่ 1 ขณะเกิดเหตุอายุ 17 ปีเศษ เป็นบุตรของนางสุดาทิพย์ ผู้เสียหายที่ 2 ขณะเกิดเหตุเด็กหญิง พ. และผู้เสียหายที่ 1 เรียนอยู่ที่โรงเรียน ส. จังหวัดสุรินทร์ โดยเด็กหญิง พ. เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ส่วนผู้เสียหายที่ 1 เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้เสียหายที่ 1 เป็นหญิงมีลักษณะและความประพฤติเป็นผู้ชายซึ่งเรียกกันว่า “ทอม” ได้ผูกสัมพันธ์กับเด็กหญิง พ. ฉันชู้สาวในลักษณะหญิงรักหญิงหรือเรียกกันว่า “ทอมกับดี้” ผู้เสียหายทั้งสองแจ้งความต่อพันตำรวจโทราชศักดิ์ พนักงานสอบสวนให้ดำนินคดีแก่จำเลยโดยกล่าวหาว่า จำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปค้าประเวณีหรือขายตัวในที่ต่างๆ หลายแห่ง หลายครั้ง พันตำรวจโทราชศักดิ์ได้สอบคำให้การผู้เสียหายที่ 1 โดยมีพนักงานอัยการ นักสังคมสงเคราะห์ และนางอุไรวรรณ น้องสาวของผู้เสียหายที่ 2 เข้าร่วมฟังการสอบสวนด้วย การสอบสวนผู้เสียหายที่ 1 จำเลยไปสถานีตำรวจภูธรเมืองสุรินทร์ จึงถูกจับกุมแจ้งข้อหาดำเนินคดีนี้
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายที่ 1 มาเบิกความเป็นพยาน ทางนำสืบของโจทก์ได้ความสรุปว่า ผู้เสียหายที่ 2 และนางอุไรวรรณได้รับทราบจากคำบอกเล่าของผู้เสียหายที่ 1 ว่า จำเลยเป็นผู้พาผู้เสียหายที่ 1 ไปค้าประเวณีกับชายครั้งแรกที่โรงแรมในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี หลังจากนั้นพาผู้เสียหายไปค้าประเวณีกับชายหลายคนที่โรงแรมต่างๆ ทั้งนี้จำเลยเป็นผู้รับเงินค่าตัวผู้เสียหายที่ 1 จากชายที่มาซื้อบริการทางเพศ ผู้เสียหายที่ 1 ยอมทำตามที่จำเลยบังคับพาไปค้าประเวณี ทั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่จำเลยยินยอมให้ผู้เสียหายที่ 1 คบหากับเด็กหญิง พ. บุตรของตนในทางชู้สาวลักษณะ “ทอมกับดี้” ต่อไปได้ เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์ความผิดเกี่ยวกับเพศ มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ที่จำเลยถูกกล่าวหาว่าพาผู้เสียหายที่ 1 ไปค้าประเวณีตามรีสอร์ตและโรงแรมต่างๆ หลายแห่ง ต่างกรรมต่างวาระกัน จำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอดทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนว่า จำเลยมิได้กระทำความผิด สาเหตุที่ผู้เสียหายที่ 1 กล่าวหาจำเลย เนื่องจากจำเลยกีดกันมิให้เด็กหญิง พ. บุตรของจำเลยคบกับผู้เสียหายที่ 1 เนื่องจากผู้เสียหายที่ 1 มีนิสัยเป็นทอมและพาเด็กหญิง พ. หนีออกจากบ้าน จำเลยได้ออกตามหาและพูดขู่ต่างๆ นานา ว่าอย่าให้เจอ ถ้าเจอจะฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ให้ตาย และมีคนนำความไปบอกเล่าให้ผู้เสียหายที่ 1 และเด็กหญิง พ. ทราบ ทำให้ทั้งสองคนกลัวและหลบหนีไป เด็กหญิง พ. โทรศัพท์มาบอกจำเลยให้เลิกติดตาม มิฉะนั้นจะมาแจ้งความ มีคนมาบอกจำเลยว่าทั้งสองคนไปแจ้งความแล้ว จำเลยจึงไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อสอบถามจึงถูกแจ้งข้อหาและจับกุมตัวดำเนินคดีเป็นคดีนี้ พนักงานสอบสวนจะต้องฉุกคิดว่า คำกล่าวหาร้ายแรงของผู้เสียหายที่ 1 เป็นความจริงหรือไม่ โดยการพาผู้เสียหายที่ 1 ไปนำชี้โรงแรมที่เกิดเหตุ สอบถามพนักงานต้อนรับของโรงแรมที่เกิดเหตุหรือขอบันทึกภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของโรงแรมมาตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร รวมทั้งสอบสวนความประพฤติของผู้เสียหายที่ 1 และเด็กหญิง พ. จากพยานแวดล้อมคืออาจารย์ที่โรงเรียน ส. จังหวัดสุรินทร์ ที่ผู้เสียหายที่ 1 อ้างว่าถูกจำเลยพาไปค้าประเวณี ผู้เสียหายที่ 1 และเด็กหญิง พ. มีพฤติกรรมอย่างไร แต่ไม่ปรากฏว่าได้มีการสอบสวนพยานแวดล้อมกรณีในลักษณะดังกล่าว กลับได้ความจากคำเบิกความของนายศิริพงษ์ อาจารย์ประจำชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ของผู้เสียหายที่ 1 และนางบังอร รองผู้อำนวยการโรงเรียน ส. จังหวัดสุรินทร์ ที่มาเบิกความเป็นพยานจำเลยในทำนองเดียวกันว่า จำเลยเคยมาขออนุญาตนางบังอรเข้าพบผู้เสียหายที่ 1 ที่โรงเรียน ส. จังหวัดสุรินทร์ ผู้เสียหายที่ 1 ไม่กล้าลงไปพบอ้างว่ากลัวจะถูกจำเลยทำร้าย นางบังอรจึงให้นายศิริพงษ์พาผู้เสียหายที่ 1 ลงไปพบจำเลยในห้อง นายศิริพงษ์จึงทราบว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับครอบครัวที่จำเลยไม่ต้องการให้ผู้เสียหายที่ 1 คบกับเด็กหญิง พ. บุตรสาวของตน นายศิริพงษ์กับนางบังอรจึงพูดว่ากล่าวตักเตือนผู้เสียหายที่ 1 ไม่ไห้คบกับบุตรสาวของจำเลย รวมทั้งเรื่องผู้เสียหายที่ 1 ขาดเรียนบ่อย อันเป็นพฤติกรรมที่ขัดกับคำให้การของผู้เสียหายที่ 1 ที่อ้างว่าจำเลยแสวงหาผลประโยชน์แลกเปลี่ยนกับการที่อนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 1 คบกับเด็กหญิง พ. ต่อไปได้ หากผู้เสียหายที่ 1 ยินยอมไปค้าประเวณีกับชายอื่นตามที่จำเลยพาไป พยานหลักฐานของโจทก์คงมีคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 และแถบบันทึกภาพ (วิดีโอ) การสอบสวนผู้เสียหายที่ 1 และวัตถุพยานตามลำดับ แม้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเสมือนหนึ่งเป็นคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ในชั้นพิจารณาของศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ตรี วรรคสี่ แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบประกอบให้รับฟังได้ว่าคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 และแถบบันทึกภาพ (วิดีโอ) การสอบสวนผู้เสียหายที่ 1 น่าเชื่อถือ พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักมั่นคงให้รับฟังลงโทษจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share