แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติ กระทำเพื่อประโยชน์แก่การอันเป็นสาธารณูปโภคและเพื่อประโยชน์สาธารณะของรัฐ การสร้างท่าเรือน้ำลึกก็เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไปและประเทศชาติ ถือได้ว่ากระทำไปเพื่อประโยชน์สาธารณะของรัฐ จำเลยที่ 2 ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีจึงมีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ในเขตประทานบัตรของโจทก์ทั้งสองได้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ถือประทานบัตรที่15759/10918 โจทก์ที่ 2 เป็นผู้ถือประทานบัตรที่ 17355/12005ประทานบัตรของโจทก์ทั้งสองอยู่ติดต่อกันในทะเลที่ตำบลมาบตาพุฒอำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง จำเลยที่ 5 ได้วางท่อส่งก๊าซผ่านเขตประทานบัตรของโจทก์ทั้งสอง และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5ไม่ยอมให้โจทก์ทั้งสองขุดแร่ในเขตประทานบัตร จำเลยที่ 7 แจ้งว่าโครงการท่าเรือมาบตาพุฒมีพื้นที่บางส่วนล้ำเข้ามาในเขตประทานบัตรของโจทก์ จะถอนคืนประทานบัตรบางส่วน โจทก์ทั้งสองร้องขอความเป็นธรรมแต่จำเลยที่ 1 กลับใช้อำนาจบีบเอาเนื้อที่บางส่วนในเขตประทานบัตรไปโดยไม่จ่ายค่าเสียหายโจทก์ที่ 1 เสียหายเป็นเงิน 731,169,978 บาทโจทก์ที่ 2 เสียหาย 117,618,309 บาท ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งแปดชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งแปดให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่เคยทำเหมืองแร่และสำรวจแร่ ในเขตประทานบัตร โจทก์ทั้งสองไม่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลย จำเลยเคยเจรจากับโจทก์ แต่โจทก์ทั้งสองเรียกค่าเสียหายเกินความเป็นจริง จำเลยที่ 2 ใช้อำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงเนื้อที่เขตประทานบัตรตามมาตรา 9 ตรี แห่งพระราชบัญญัติแร่พ.ศ. 2510 ซึ่งไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโจทก์ฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี นับแต่รู้ตัวผู้ต้องรับผิด คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 5 ร่วมกันใช้ค่าทดแทนให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 2,753,216.12 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 สำหรับจำเลยทั้งแปด
โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 ที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 ที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่าการสั่งเพิกถอนประทานบัตรเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 หรือไม่ จำเลยนำสืบว่า จำเลยที่ 5มีความจำเป็นต้องใช้เนื้อที่ในเขตประทานบัตรของโจทก์ที่ 1เพื่อวางท่อส่งก๊าซจากแหล่งก๊าซที่อ่าวไทยมาขึ้นฝั่งที่ตำบลมาบตาพุด เพราะประชาชนจะได้รับประโยชน์มากมาย ทำให้สามารถผลิตเชื้อเพลิงขึ้นใช้ในประเทศเอง ไม่ต้องซื้อจากแหล่งผลิตต่างประเทศ เป็นการประหยัดเงินตราได้อย่างมาก และเป็นผลดีแก่ประชาชนในอนาคต เพราะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติและเป็นการส่งเสริมพัฒนาอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น และมีการพัฒนาต่อเนื่องกันอีกมาก จำเลยที่ 7มีความจำเป็นต้องใช้เนื้อที่ในเขตประทานบัตรของโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 เพื่อสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เนื่องจากต้องใช้เขตนี้ในการขนส่งวัตถุดิบให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมในเขตท้องที่ตำบลมาบตาพุด และโรงงานอุตสาหกรรมนอกเขตด้วย ท่าเรือแห่งนี้เป็นท่าเรือน้ำลึกแห่งแรกในประเทศไทย สามารถจะให้บริการแก่เรือขนาดใหญ่ได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศชาติอย่างมาก เช่นในด้านการจ้างแรงงาน การผลิตสินค้าและการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 7 เป็นรัฐวิสาหกิจ มีความจำเป็นต้องใช้เนื้อที่ในเขตประทานบัตรของโจทก์ทั้งสองเพื่อวางท่อส่งก๊าซจากแหล่งก๊าซที่อ่าวไทยมาขึ้นฝั่งที่ตำบลมาบตาพุด และเพื่อสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดจริงตามที่จำเลยนำสืบ การวางท่อส่งก๊าซดังกล่าวเป็นการประกอบการเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไปถือได้ว่าจำเลยที่ 5 กระทำไปเพื่อประโยชน์แก่การอันเป็นสาธารณูปโภคและเพื่อประโยชน์สาธารณะของรัฐ การสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไปและประเทศชาติ ถือได้ว่าจำเลยที่ 7กระทำไปเพื่อประโยชน์สาธารณะของรัฐ ดังนั้น จำเลยที่ 2 ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีจึงมีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ในเขตประทานบัตรของโจทก์ทั้งสองได้ โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือประทานบัตรจึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 9 ตรีซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2522มาตรา 5 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 5 ร่วมกันใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์ที่ 1 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 5 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 5 ด้วย