แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นผู้ปกครองทางด้านการแสดงภาพยนตร์และเป็นเจ้าของไข้ของ จ. ได้กล่าวต่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์จำเลยที่ 2 ว่า “นอกจากไม่นับถือ ไม่เชื่อถือแล้ว ยังเห็นว่าศิษย์ตถาคตผู้นุ่งเหลืองห่มเหลือง ประพฤติตัวไม่อยู่ในสมณวิสัยด้วย”และ “ทุก ๆ วันที่ปัญหาเดือดร้อนรำคาญมากกับหมอเถื่อน หมอดีทั้งที่เป็นฆราวาส ทั้งห่มผ้าเหลือง วันหนึ่ง ๆ มีเป็นสิบ ๆ คนไปรออยู่หน้าห้อง กล้องถ่ายรูปก็พร้อม เราก็กันไว้ไม่ให้ไปเพราะการรักษาควรจะเป็นเรื่องของแพทย์ เปิ้ลจะหายหรือไม่ก็อยู่ที่หมอไม่ใช่อยู่กับคนที่ยืนสวดมนต์ ชักลูกประคำพวกนี้ อยากจะบอกฝากไปถึงด้วยว่า ถ้าอยากดังนักก็ขอให้ไปดังที่อื่น คนป่วยของผมต้องการพักผ่อนอย่าได้ไปรบกวนกันเลย” การที่จำเลยที่ 1 กล่าวเช่นนั้นเนื่องจากโจทก์ที่ 2 เป็นพระภิกษุ ได้ไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้แก่ จ. ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดแพทย์ห้ามเยี่ยมในห้องพักคนไข้ของโรงพยาบาลที่ จ. นอนพักรักษาตัวอยู่ชิดเตียงที่ จ. นอนป่วยอันเป็นสิ่งไม่ควรปฏิบัติตามวิสัยของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา อันมีเหตุให้จำเลยที่ 1 เชื่อโดยสุจริตว่าการกระทำของโจทก์มิใช่กิจอันอยู่ในสมณวิสัย จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมหรือติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งการประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุในศาสนาประจำชาติ อันเป็นวิสัยของจำเลยที่ 1 ชอบที่จะกระทำได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1)(3) จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าของและเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ที่ลงข้อความดังกล่าวจึงไม่มีความผิดด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา326, 328, 83 และ 332 จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงพิพากษายกฟ้อง คู่ความจะอุทธรณ์ได้แต่ปัญหาข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา22 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2503 มาตรา 10 ส่วนข้อเท็จจริงต้องฟังเป็นยุติตามที่ศาลชั้นต้นฟังมาว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ปกครองทางด้านการแสดงภาพยนตร์ของนางสาวจารุณี สุขสวัสดิ์ ได้ทราบข่าวว่าโจทก์ซึ่งเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา ได้ไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์ขจัดวิบากกรรม อันเป็นการรักษาความเจ็บป่วยของนางสาวจารุณี สุขสวัสดิ์และนางสาวเนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงในห้องพักคนไข้ของโรงพยาบาลลานนาซึ่งนางสาวจารุณีและนางสาวเนาวรัตน์นอนพักรักษาตัวอยู่และแพทย์ห้ามเยี่ยม แล้วจำเลยที่ 1ได้กล่าวต่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์จำเลยที่ 2 ว่า “นอกจากไม่นับถือ ไม่เชื่อถือแล้ว ยังเห็นว่าศิษย์ตถาคตผู้นุ่งเหลืองห่มเหลือง ประพฤติตัวไม่อยู่ในสมณวิสัยด้วย” และ “ทุก ๆ วันที่ปัญหาเดือดร้อนรำคาญมาก กับหมอเถื่อน หมอดี ทั้งที่เป็นฆราวาสทั้งห่มผ้าเหลือง วันหนึ่ง ๆ มีเป็นสิบ ๆ คน ไปรออยู่หน้าห้องกล้องถ่ายรูปก็พร้อม เราก็กันไว้ไม่ให้ไป เพราะการรักษาควรเป็นเรื่องของแพทย์ เปิ้ลจะหายหรือไม่ก็อยู่ที่หมอ ไม่ใช่อยู่กับคนที่ยืนสวดมนต์ชักลูกประคำพวกนี้ อยากจะบอกฝากไปถึงด้วยว่า ถ้าอยากดังก็ขอให้ไปดังที่อื่น คนป่วยของผมต้องการพักผ่อน อย่าได้ไปรบกวนกันเลย” คดีมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของโจทก์ข้อความดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อความที่จำเลยที่ 1 กล่าวนั้นสืบเนื่องมาจากโจทก์ได้ไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์ขจัดวิบากกรรมให้แก่นางสาวจารุณี ซึ่งปรากฏตามภาพถ่ายหมาย ล.3 ว่า โจทก์ได้ไปกระทำพิธีดังกล่าวชิดเตียงที่นางสาวจารุณีนอนป่วยอยู่ อันเป็นสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติตามวิสัยของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ทั้งยังขัดต่อประกาศคณะสงฆ์เรื่องห้ามพระภิกษุสามเณรประกอบอาชีพเป็นหมอหรือแพทย์รักษาโรคลงวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2499 กับประกาศคณะสงฆ์ เรื่อง ห้ามภิกษุสามเณรเรียกเงินค่าเวทมนต์ และห้ามทดลองของขลัง ลงวันที่ 1 ธันวาคม2495 อีกด้วย นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังเป็นผู้ปกครองทางด้านการแสดงภาพยนตร์และเป็นเจ้าของไข้ของนางสาวจารุณี เมื่อนางสาวจารุณีบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดแพทย์ที่ทำการรักษาห้ามคนเยี่ยมเด็ดขาดการที่โจทก์เข้ามาทำพิธีสะเดาะเคราะห์ขจัดวิบากกรรมตามวิธีที่โจทก์เชื่อถือจึงอาจเป็นการรบกวนการพักผ่อนของนางสาวจารุณีและทำให้การรักษาพยาบาลของแพทย์ไม่ประสบผลดีเท่าที่ควรก็เป็นได้ดังนั้น เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติ ได้กระทำการอันมีเหตุที่จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่า การกระทำของโจทก์มิใช่กิจอันอยู่ในสมณวิสัย ข้อความที่จำเลยกล่าวข้างต้นจึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรมป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม หรือติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งการประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุในศาสนาประจำชาติ อันเป็นวิสัยของจำเลยที่ 1 ชอบที่จะกระทำได้ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329(1)(3) จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าของและเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่ลงข้อความซึ่งจำเลยที่ 1 กล่าวจึงไม่มีความผิดด้วยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน”