แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทมาและจะเข้าทำประโยชน์แต่จำเลยขัดขวางอ้างว่าเช่าที่พิพาทเพื่อทำนาจากช. คชก.ตำบลได้พิจารณาและมีคำสั่งว่าจำเลยไม่มีสิทธิเป็นผู้เช่านาและไม่มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทโจทก์ทั้งสองบอกกล่าวให้จำเลยออกไปแต่จำเลยเพิกเฉยเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองเสียหายฟ้องของโจทก์ทั้งสองได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งสองและคำขอบังคับอีกทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองฟ้องโจทก์ทั้งสองไม่เคลือบคลุม ตามรายงานการประชุมของคชก.ตำบลปรากฎว่ามีรายชื่อผู้เข้าร่วมประชุม9คนครบองค์ประชุมโดยจำเลยเข้าร่วมประชุมด้วยจึงมีกรรมการของคชก.ตำบลเข้าร่วมประชุมเกินกึ่งหนึ่งซึ่งครบองค์ประชุมตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯมาตรา18วรรคหนึ่งที่ประชุมมีมติว่าจำเลยไม่มีสิทธิเป็นผู้เช่านาและไม่มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจำเลยไม่เห็นด้วยแต่มิได้อุทธรณ์มติดังกล่าวต่อคชก.จังหวัดภายใน30วันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลแต่ต้องไม่เกิน60วันนับแต่วันที่คชก.ตำบลมีคำวินิจฉัยคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลจึงเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯมาตรา 56วรรคสองจำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะทำนาในที่ดินพิพาทต่อไปโจทก์ทั้งสองชอบที่จะฟ้องจำเลยได้ จำเลยฎีกาว่าการที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยในปัญหาที่ว่ามติของคชก.ตำบลชอบด้วยกฎหมายเพราะมีอำนาจวินิจฉัยหรือไม่เป็นการไม่ชอบในปัญหานี้เป็นประเด็นเดียวกับเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งจำเลยยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การและยังคงโต้แย้งตลอดมาจนถึงชั้นฎีกาแต่ศาลล่างทั้งสองไม่ได้วินิจฉัยไว้จึงเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา131(2)ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนให้ศาลล่างทั้งสองพิจารณาพิพากษาใหม่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่าโจทก์ทั้งสองฟ้องขอไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยยังมีสิทธิทำนาในที่ดินพิพาทและคชก.ตำบลไม่มีอำนาจวินิจฉัยและลงมติว่าจำเลยไม่มีสิทธิเป็นผู้เช่านาและไม่มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทตามคำร้องของโจทก์ทั้งสองดังนี้ข้อพิพาทเกี่ยวด้วยการเช่าที่ดินพิพาทเพื่อทำนาคชก.ตำบลจึงมีอำนาจวินิจฉัยข้อพิพาทอันเกิดแต่การเช่าตามคำร้องของโจทก์ทั้งสองได้ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯมาตรา13(2)สำหรับฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงจึงเป็นฎีกาที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4041 โดยชื้อต่อมาจากนายวิเชียร บุญนาค โจทก์ทั้งสองจะเข้าทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ปรากฎว่าจำเลยห้าม โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทนั้นจำเลยเช่าทำนาอยู่โดยเช่ามาจากนายเชื้อ การสมวรรณต่อมา คชก.ตำบลชายนาได้พิจารณาและมีคำสั่งถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีสิทธิเป็นผู้เช่านา และไม่มีสิทธิซื้อที่ดินแปลงนี้ตามกฎหมายและประธาน คชก.ตำบลชายนาได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยออกไปจากที่นาของโจทก์ทั้งสองแล้ว จำเลยไม่ยอมออกไป การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 4041 ตำบลชายนา อำเภอเสนาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของโจทก์ทั้งสอง และห้ามไม่ให้จำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองอีกต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 495,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับชำระค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสองเดือนละ 15,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม หากโจทก์ทั้งสองจะเสียหายก็ไม่เกินปีละ 12,810 บาท ที่ดินพิพาทนั้นเดิมเป็นของนายวิเชียรบุญนาค ซึ่งมอบให้นายเชื้อ การสมวรรณ นำไปให้จำเลยเช้าโดยความรู้เห็นยินยอมของนายวิเชียร จำเลยจึงเป็นผู้เช่าโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายวิเชียร จึงต้องรับโอนทั้งสิทธิและหน้าที่จากนายวิเชียรในที่ดินแปลงนี้ด้วยโจทก์ทั้งสองไม่เคยบอกเลิกการเช่านาแก่จำเลยและไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาท จำเลยจึงมีสิทธิทำนาแปลงนี้ในฐานะผู้เช่า ขณะนี้ คชก.ตำบลชายนากำลังพิจารณาเรื่องจำเลยขอซื้อนาแปลงนี้จากโจทก์ทั้งสองอยู่ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2531นายวิเชียรขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองโดยไม่บอกกล่าวให้แก่จำเลยทราบ และไม่ได้บอกกล่าวแสดงความจำนงจะขายนาให้ประธาน คชก.ตำบลชายนาทราบ โจทก์ทั้งสองรู้ดีว่าจำเลยเป็นผู้เช่าทำนาแปลงนี้อยู่ก่อน แต่ใช้สิทธิร้องเรียนจำเลยต่อ คชก.ตำบลชายนาเพื่อให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท คชก.ตำบลชายนามีการประชุมคำร้องของโจทก์ทั้งสองเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2531และ คชก.ตำบลชายนามีหนังสือฉบับลงวันที่ 30 มกราคม 2532ขับไล่จำเลยให้ออกจากที่ดินพิพาทแต่การประชุม คชก.ตำบลชายนาและมติการประชุมดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากมีผู้เข้าร่วมประชุมเพียง 7 คน ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ไม่ชอบด้วยมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 นอกจากนี้ที่ประชุม คชก.ตำบลชายนาไม่มีอำนาจวินิจฉัยลงมติตามคำร้องของโจทก์ทั้งสองที่ขอให้ คชก.ตำบลชายนาลงมติว่าจำเลยไม่มีสิทธิเป็นผู้เช่านา และไม่มีสิทธิเป็นผู้เช่านา และไม่มีสิทธิซื้อที่ดินแปลงนี้คืน เนื่องจากขัดต่อพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 13(2), 33 และ 54 วรรคสอง ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ คชก.จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีมติให้ คชก.ตำบลชายนาประชุมพิจารณาการประชุมคชก.ตำบลชายนาใหม่ ขณะนี้ คชก.ตำบลชายนากำลังประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าวอยู่ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 4041 ตำบลชายนาอำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของโจทก์ และห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายข้อแรกว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่คดีนี้โจทก์ทั้งสองได้บรรยายฟ้องความว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยได้ซื้อมาจากนายวิเชียร บุญนาค เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2531 โจทก์ทั้งสองจะเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จำเลยขัดขวางอ้างว่าจำเลยได้เช่านามาจากนายเชื้อ การสมวรรณ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2531คณะกรรมการ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลชายนา(คชก.ตำบลชายนา) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้พิจารณาและมีคำสั่งว่าจำเลยไม่มีสิทธิเป็นผู้เช่านาและไม่มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาท ปรากฎตามรายงานการประชุมครั้งที่ 3/2531 โจทก์ทั้งสองได้บอกกล่าวให้จำเลยขนย้ายออกไป แต่จำเลยเพิกเฉย จึงฟ้องขอให้บังคับตามคำขอท้ายฟ้องเห็นว่า ฟ้องของโจทก์ทั้งสองได้แสดงโดยชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยมิได้อยู่ในฐานะผู้เช่าที่ดินพิพาททำนาตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ต่อไปแล้ว จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวเมื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ต่อไปและได้บอกกล่าวแก่จำเลยแล้ว เช่นนี้เมื่อจำเลยไม่ยอมออกไปก็เป็นการอยู่โดยละเมิด เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย โจทก์ทั้งสองจึงชอบที่จะฟ้องให้ศาลบังคับจำเลยปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั่งสองได้ โดยถือได้ว่าคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งสอง และคำขอบังคับ อีกทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แล้วฟ้องของโจทก์ทั้งสองจึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องหรือไม่ในปัญหาข้อนี้ ข้อเท็จจริงแห่งคดีปรากฎว่า ตามรายงานการประชุมของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลชายนาครั้งที่ 3/2530 ตามเอกสารหมาย จ.1 ปรากฎว่ามีรายชื่อผู้เข้าร่วมประชุม 9 คน ครบองค์ประชุมโดยจำเลยเข้าร่วมประชุมด้วย จึงมีกรรมการของ คชก.ตำบลชายนาเข้าร่วมประชุมเกินกึ่งหนึ่ง ซึ่งครบองค์ประชุมตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง แล้ว และตามรายงานการประชุมระบุว่าที่ประชุมมีมติว่าจำเลยไม่มีสิทธิเป็นผู้เช่านาและไม่มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาท ซึ่งจำเลยไม่เห็นด้วย แต่มิได้อุทธรณ์มติ คชก.ตำบลชายนา ต่อ คชก.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดังปรากฎตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 31 มีนาคม 2535 ดังนั้น เมื่อคชก.ตำบลชายนามีคำวินิจฉัยแล้ว จำเลยชอบที่จะอุทธรณ์ต่อคชก.จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลชายนา แต่ต้องไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันที่คชก.ตำบลชายนามีคำวินิจฉัย เมื่อจำเลยไม่อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลชายนาภายในกำหนดเวลาดังกล่าว คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลชายนาจึงเป็นอันถึงที่สุด ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 56 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะทำนาในที่ดินพิพาทต่อไป เมื่อโจทก์ทั้งสองบอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉย ย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองชอบที่จะฟ้องจำเลยได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยในปัญหาที่ว่ามติของ คชก.ตำบลชายนา ชอบด้วยกฎหมายเพราะ คชก.ตำบลชายนามีอำนาจวินิจฉัยหรือไม่ เป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าในปัญหานี้เป็นประเด็นเดียวกับเรื่องอำนาจฟ้อง ซึ่งจำเลยยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ และยังคงโต้แย้งตลอดมาจนถึงชั้นฎีกา แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัย ไว้ จึงเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131(2) ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยไม่จำต้อง ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยยังมีสิทธิทำนาในที่ดินพิพาท และ คชก.ตำบลชายนาไม่มีอำนาจวินิจฉัยและลงมติว่าจำเลยไม่มีสิทธิเป็นผู้เช่านาและไม่มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทตามคำร้องของโจทก์ทั้งสอง ดังนี้ข้อพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยเป็นข้อพิพาทเกี่ยวด้วยการเช่าที่ดินพิพาทเพื่อทำนาคชก.ตำบลชายนาจึงมีอำนาจวินิจฉัยข้อพิพาทอันเกิดแต่การเช่าตามคำร้องของโจทก์ทั้งสองได้ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 13(2) ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับฎีกาข้ออื่นของจำเลยนั้น เห็นว่า ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาทุกข้อของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน