คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 570/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ชายหญิงตกลงสมรสกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนเมื่อปรากฎว่าขายบิดพลิ้วไม่ยอมไปจดทะเบีนแล้วขายจะมาฟ้องเรียกเงินสินสอดและทองหมั้นคืนจากหญิงและบิดามารดาหญิงไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้สู่ขอจำเลยที่ ๓ ต่อมาจำเลยที่ ๑,๒ ผู้เป็นบิดามารดา และตกลงทำการสมรสกัน โจทก์มอบเงิน ๒๐,๐๐๐บาท กับทองคำหนัก ๖ บาท เป็นกองทุนสมรสแล้วจำเลยที่ ๑,๒ ไม่ยินยอมให้โจทก์กับจำเลยที่ ๓ จดทะเบียนสมรสกัน โจทก์ขอเงินทุน ๒๐,๐๐๐ บาท ไปลงทุนก็ไม่ให้จึงขอให้บังคับจำเลยคืนเงินและทอง
จำเลยต่อสู้ว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินสินสอดได้ใช้จ่ายซื้อเครื่องเรือนโจทก์จำเลยหมดไปแล้ว ทองตกเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ ๓ แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืน จำเลยพร้อมที่จะให้จดทะเบียนสมรส
ศาลชั้นต้นฟังว่าเงินเป็นสินสอด ทองเป็นของหมั้น โจทก์บิดพริ้วไม่จดทะเบียนสมรสเองจะเรียกสินสอดทองหมั้นคืนไม่ได้พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเงินและทองไม่ใช่สินสอดทองหมั้นตามกฎหมายเป็นเงินและทองที่โจทก์ให้จำเลยเพื่อได้ตัวจำเลยที่ ๓ มา โจทก์ฟ้องเรียกคืนในฐานะผิดสัญญา จึงเรียกคืนไม่ได้พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่าเป็นเงินสินสอดและทองหมั้น การที่โจทก์และจำเลยที่ ๓ ไม่ได้จดทะเบียนเป็นเพราะโจทก์บิดพริ้ว ไม่ใช่เป็นความผิดของฝ่ายจำเลย โจทก์จึงจะมาขอเรียกคืนโดยอาศัยสิทธิตาม ป.พ.ม.๑๔๓๖ ไม่ได้ ส่วนที่ฎีกาว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยระบุพยานตาม วิ.แพ่ง ม.๘๗ ในวันสืบพยานโจทก์เป็นการไม่ชอบนั้นก็ไม่มีเหตุที่โจทก์จะอ้างได้ว่าศาลชั้นต้นให้อนุญาตผิด ก.ม.ประการใด ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share