คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 569/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยต้องคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ลงโทษปรับ 50 บาทกระทงหนึ่ง 500 บาท อีกกระทงหนึ่ง ซึ่งแต่ละกระทงไม่เกิน 500 บาทคดีของจำเลยจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ 2)พ.ศ.2503 มาตรา 10
อุทธรณ์เกี่ยวกับดุลพินิจของศาลชั้นต้นในเรื่องชั่งน้ำหนักคำพยานโจทก์มิใช่เป็นอุทธรณ์เกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานขับรถที่มีห้ามล้อมือใช้การไม่ได้และด้วยความเร็วสูงและโดยประมาท เป็นเหตุให้ชนรถผู้อื่นเสียหายขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 5, 28, 29, 66 พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2508 มาตรา 7, 13 กฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 (ฉบับที่ 2) ข้อ 10, 13 กฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2509

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานนำรถที่มีห้ามล้อมือใช้การไม่ได้มาใช้ เป็นการฝ่าฝืนกฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 (ฉบับที่ 2) ข้อ 13 อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 66 แก้ไข (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2508 มาตรา 13 กระทงหนึ่งและมีความผิดฐานขับรถประมาทตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 29, 66 แก้ไข (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2508 มาตรา 7, 13 อีกกระทงหนึ่ง ให้ปรับจำเลยสำหรับความผิดกระทงแรกเป็นเงิน 50 บาท และปรับสำหรับความผิดกระทงที่สองเป็นเงิน 500 บาท รวมเป็นเงิน 550 บาท ข้อหาอื่นนอกนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

ศาลชั้นต้นสั่งว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรมและศาลพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กรรม แต่ละกระทงปรับไม่เกิน 500 บาท ฉะนั้น จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงทั้ง 2 กระทงส่วนอุทธรณ์จำเลยข้อ 3 ที่ว่าศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงนอกฟ้องและแตกต่างไปจากพยานโจทก์เป็นข้อกฎหมาย จึงให้รับอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ นอกนั้นเป็นข้อเท็จจริง ไม่รับอุทธรณ์สำเนาให้โจทก์”

จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าคดีของจำเลยต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนอุทธรณ์ข้อ 2 ที่จำเลยอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายด้วยนั้น เห็นว่าเป็นอุทธรณ์คัดค้านดุลพินิจของศาลชั้นต้นว่า พยานโจทก์แตกต่างกันไม่พอฟังลงโทษจำเลย จึงไม่ใช่อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ให้ยกคำร้องของจำเลย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยต้องคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ลงโทษปรับ 50 บาท กระทงหนึ่ง 500 บาท อีกกระทงหนึ่ง ซึ่งแต่ละกระทงไม่เกิน 500 บาท คดีของจำเลยจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแขวงในปัญหาข้อเท็จจริงตามความในมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 ซึ่งถูกยกเลิกและใช้ความใหม่แทนโดยมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2503 ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าเป็นข้อกฎหมายนั้นเป็นอุทธรณ์เกี่ยวกับดุลพินิจของศาลชั้นต้นในเรื่องชั่งน้ำหนักคำพยานโจทก์มิใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย

พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย

Share