แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีอาญาแม้จะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ก็มิได้ห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย และอาจมีการอนุญาตหรือรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ได้คดีจึงถึงที่สุดเมื่อสิ้นกำหนดระยะเวลาฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสองประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 โดยมิต้องคำนึงว่ามีการยื่นฎีกาแล้วหรือไม่
ในคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องภายในกำหนดระยะเวลาฎีกา แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ก็เป็นการถอนฟ้องก่อนที่คดีจะถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 วรรคสอง แล้ว เมื่อจำเลยไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นชอบที่จะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้
เมื่อปรากฏว่าคดีได้ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจสั่งคำร้องขอถอนฟ้องของโจทก์ได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสั่ง
เมื่อศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) อันมีผลให้คำพิพากษาของศาลล่างระงับไปด้วยในตัว ให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกา
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2528 )
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ ลงโทษปรับจำเลยที่ ๑ จำคุกจำเลยที่ ๒ ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๒๖ ต่อมาวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๒๖ ซึ่งยังอยู่ภายในกำหนดระยะเวลาฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง จำเลยทั้งสองไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงและยังไม่ฎีกา จึงถือว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถึงที่สุด ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า ปัญหาว่าภายในกำหนดระยะเวลาฎีกา โจทก์จะขอถอนฟ้องโดยที่ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาได้หรือไม่ เห็นว่า แม้คดีนี้จะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ก็ตามแต่ก็มิได้ห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย และอาจมีการอนุญาตหรือรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๒๑ ได้คดีจึงถึงที่สุดเมื่อสิ้นกำหนดระยะเวลาฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๗ วรรคสองประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ทั้งนี้ โดยมิต้องคำนึงว่ามีการยื่นฎีกาแล้วหรือไม่ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีนี้ในวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๒๖ ซึ่งยังอยู่ภายในกำหนดระยะเวลาฎีกา แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ก็เป็นการถอนฟ้องคดีความผิดต่อส่วนตัวก่อนที่คดีจะถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๕ วรรคสอง แล้วเมื่อจำเลยทั้งสองไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ อนึ่ง เมื่อปรากฏว่าคดีได้ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาก็ย่อมมีอำนาจสั่งคำร้องขอถอนฟ้องของโจทก์ได้ และกรณีนี้ศาลฎีกาเห็นสมควรมีคำสั่งเสียเองโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสั่ง
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งศาลชั้นต้น อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๒) อันมีผลให้คำพิพากษาของศาลล่างระงับไปด้วยในตัวให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกา.