คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 567/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ที่ขับรถยนต์หลีกรถที่จอดอยู่ขึ้นไปทางขวากินทางของฝ่ายรถที่สวนมาข้างหน้านั้นตามวิสัยจะต้องเป็นฝ่ายใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอ มิฉะนั้นอาจถือว่าเป็นการเสี่ยงภัยของตนเองได้
จำเลยขับรถบรรทุกหลีกรถที่จอดอยู่ขึ้นไปทางขวาปิดทางรถที่กำลังลงสะพานสวนมาข้างหน้าโดยมิได้ชลอความเร็วทำให้ผู้ขับรถสวนมาไม่สามารถแก้ไขอย่างอื่นได้นอกจากห้ามล้อทันทีเป็นเหตุให้รถที่สวนมาเสียหลักการทรงตัวไถลเอาข้างไปชนรถจำเลยเข้า เกิดอันตรายแก่รถและผู้ที่นั่งมาด้วยเช่นนี้ จำเลยย่อมมีความผิดฐานขับรถโดยประมาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์บรรทุกแซงขึ้นหน้ารถยนต์โดยสารที่เชิงสะพานอันเป็นที่คับขันโดยประมาท ทำให้รถเก๋งที่ลงสะพานสวนมาห้ามล้อไม่ทัน เพราะฝนตกถนนลื่น เป็นเหตุให้ท้ายรถเก๋งปะทะกับรถจำเลยได้รับความเสียหายคนนั่งในรถเก๋งบาดเจ็บ ขอให้ลงโทษ

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 29, 32 (จ), 66 พระราชบัญญัติจราจรทางบก(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2481 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 ให้ลงโทษตามบทหนักปรับจำเลย 500 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดฐานประมาทพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดฐานขับรถโดยประมาทนั้น ในกรณีนี้จะต้องวินิจฉัยว่า ก่อนที่จำเลยจะขับรถหลีกรถจอดขึ้นไปปิดทางรถสวนนั้นจำเลยได้ใช้ความระมัดระวังเพียงพอแล้วหรือไม่ เพราะการเดินรถต้องเดินในทางของตน หากจำเลยจะหลีกรถขึ้นทางขวากินทางของฝ่ายรถที่สวนมาข้างหน้า ตามวิสัยจำเลยต้องเป็นฝ่ายใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอโดยต้องดูให้แน่ว่ามีรถสวนมาในระยะที่จำเลยจะหลีกขึ้นไปได้พ้นหรือไม่ เห็นได้ว่าขณะที่จำเลยขับรถหลีกขึ้นไปนั้นเหตุคับขันก็เกิดขึ้นทันที จนต้องห้ามล้อทั้งสองฝ่าย เมื่อพิเคราะห์ว่าสะพานวังต้นที่รถยนต์เก๋งข้ามมานั้นมีความยาวถึง 58 เมตร พอรถจำเลยหลีกขึ้นไป ฝ่ายรถเก๋งก็ลงสะพานแล้ว แสดงว่าฝ่ายรถเก๋งได้ขึ้นสะพานมาก่อน ถ้าจำเลยได้ใช้ความระมัดระวังดูรถที่ขึ้นสะพานมา จำเลยต้องได้เห็นรถเก๋งแล่นอยู่บนสะพานก่อนแล้วที่จำเลยแก้ว่าไม่เห็นนั้นก็เป็นความผิดของจำเลยเองที่ไม่ดูให้ดี การที่จำเลยขับรถหลีกขึ้นไปปิดทางรถสวนในขณะที่รถสวนกำลังจะลงสะพานนั้น เป็นการกระทำอย่างเสี่ยงภัยของจำเลยเอง เห็นว่าพฤติการณ์ที่จำเลยขับรถดังกล่าวนี้ จำเลยมุ่งที่จะหลีกขึ้นไปให้ได้ก่อน ครั้นเห็นว่าไม่ทัน จึงห้ามล้อทันทีตั้งแต่ยังไม่พ้น ถึงหัวรถคันที่จอดจำเลยจึงเป็นฝ่ายประมาทในคั่นแรก ปัญหาต่อไปมีว่า โอกาสสุดท้ายฝ่ายจำเลยหรือฝ่ายรถเก๋งเป็นฝ่ายหลีกเลี่ยงอันตรายได้ เห็นว่า ฝนตก ถนนลื่นเป็นเหตุการณ์ที่มีอยู่แล้ว จะวินิจฉัยว่า ถ้าไม่มีเหตุการณ์ดังนี้จะไม่เกิดชนกันนั้นไม่ได้ เพราะวิสัยของการขับรถในภาวะเช่นนี้ย่อมต้องใช้ความระมัดระวังยิ่งขึ้นกว่าถนนแห้ง เมื่อฝ่ายรถเก๋งไม่ได้ขับเร็วเกินสมควร จะว่าเป็นความผิดของฝ่ายรถเก๋งจึงไม่ได้การที่ผู้ขับรถเก๋งต้องห้ามล้อทันทีก็เพราะจำเลยขับรถขึ้นไปปิดทางไม่สามารถแก้ไขอย่างอื่นได้ ทั้งนี้ ต้นเหตุเกิดจากจำเลยขับรถปิดทางรถลงสะพานนั่นเอง หากจำเลยใช้ความระมัดระวังรอให้รถลงสะพานเสียก่อนจึงหลีกขึ้นไป อันตรายก็จะไม่เกิดขึ้นจำเลยจึงเป็นฝ่ายขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สินฎีกาโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้นแต่ที่พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ ด้วยนั้นให้ยกเสีย

Share