คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5650/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่1ได้รับทุนจากโจทก์ไปศึกษาที่ต่างประเทศมีสัญญาตกลงว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาจะกลับเข้ารับราชการถ้าผิดสัญญายอมใช้เงินค่าปรับ3เท่าของเงินเดือนและค่าใช้จ่ายมีจำเลยที่2เป็นผู้ค้ำประกันต่อมาจำเลยที่1ผิดสัญญาไม่กลับเข้ารับราชการและไม่ชำระหนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดร่วมกันตามสัญญาค้ำประกันสำหรับผู้ที่ทางราชการส่งไปดูงานหรือส่งไปศึกษาแม้จะมีถ้อยคำระบุว่าจำเลยที่2ยอมใช้เงินทั้งสิ้นภายในกำหนด1เดือนนับแต่วันที่ได้รับการทวงถามและจำเลยที่2ยอมรับใช้แทนจำเลยที่1จนครบถ้วนทันทีเมื่อได้รับการทวงถามก็ตามโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่2ได้ผูกพันตนในลักษณะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่1ต่อโจทก์ฉะนั้นโจทก์จะเรียกให้จำเลยที่2ชำระหนี้ได้ต่อเมื่อจำเลยที่1ผิดนัดชำระหนี้แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา686

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้รับทุนจากโจทก์ให้ไปศึกษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสัญญาว่าจะรับราชการกับโจทก์เป็นเวลา 2 เท่าของเวลาที่ได้เดินทางไปศึกษาและไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือครบ 10 ปีเป็นอย่างมากหากผิดสัญญายอมใช้เงินจำนวน 3 เท่าของเงินรายเดือนและค่าใช้จ่ายที่ทางราชการได้จ่ายให้ จำเลยที่ 2ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดชดใช้แทนกรณีที่จำเลยที่ 1ผิดสัญญา จำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาแล้วไม่กลับเข้ารับราชการ เมื่อจำเลยที่ 3 ผิดสัญญา จำเลยที่ 1ต้องชำระเงินให้โจทก์จำนวน 377,549.89 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดด้วย โจทก์ทวงถามจำเลยที่ 1 เพิกเฉยจำเลยที่ 2 ทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้ไว้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 377,549.89 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 รับผิดไม่เกินวงเงิน94,949.03 บาท พร้อมดอกเบี้ย 5 ปี เท่านั้น จำเลยที่ 2ทำหนังสือรับสภาพหนี้เพราะหลงเชื่อผู้บังคับบัญชาว่าเมื่อทำแล้วไม่ต้องรับผิด โดยที่จำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาจะขอผ่อนชำระ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 169,857.91 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่23 ธันวาคม 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 6,950.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2529จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน169,857.91 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในเงินเดือนและเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวที่โจทก์ได้จ่ายให้แก่จำเลยที่ 1 หลังจบการศึกษาแล้วจำนวน6,950.80 บาท ด้วยหรือไม่ ตามสัญญาค้ำประกันข้อ 3 มีข้อความว่า”ถ้า พ.อ.อ.เทิดเกียรติ สอนสิงห์ไชย ประพฤติผิดสัญญาที่ได้ทำไว้แก่กระทรวงกลาโหม ซึ่งกระทรวงกลาโหมจะต้องเรียกเงินคืนจาก พ.อ.อ.เทิดเกียรติ สอนสิงห์ไชย เป็นจำนวนเงินเท่าใด ข้าพเจ้ายอมรับใช้แทน พ.อ.อ.เทิดเกียรติ สอนสิงห์ไชยจนครบถ้วนทันทีเมื่อได้รับการทวงถาม”เมื่อจำเลยที่ 1ผิดสัญญา จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในจำนวนเงินดังกล่าวตามที่จำเลยที่ 2 ผูกพันตนเข้าค้ำประกันด้วย
โจทก์ฎีกาสองข้อหลังว่า ตามสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 2ตกลงยอมชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วนทันทีเมื่อได้รับการทวงถามฉะนั้นไม่จำเป็นต้องให้จำเลยที่ 1 ผิดนัดก่อน และจำเลยที่ 2ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ เห็นว่า จำเลยที่ 1ได้รับทุนจากโจทก์ไปศึกษาต่างประเทศ มีสัญญาตกลงว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาจะกลับเข้ารับราชการ ถ้าผิดสัญญายอมใช้เงินค่าปรับ 3 เท่า ของเงินเดือนและค่าใช้จ่าย มีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันสัญญาค้ำประกันดังกล่าวแม้จะมีถ้อยคำระบุไว้ในข้อ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ยอมใช้เงินให้ทั้งสิ้นภายในกำหนด1 เดือน นับแต่วันที่ได้รับการทวงถาม และระบุไว้ในข้อ 3 ว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับใช้แทนจำเลยที่ 1 จนครบถ้วนทันทีเมื่อได้รับการทวงถามก็ตาม โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2ได้ผูกพันตนในลักษณะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ฉะนั้นโจทก์จะเรียกให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ได้ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686
พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 377,549.89 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน

Share