คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5645/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยทั้งสามทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยทั้งสามยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องและตกลงร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยทั้งสามตกลงชำระหนี้โจทก์โดยนำทรัพย์จำนองจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ภายใน 30 วัน หากผิดนัด ยินยอมให้โจทก์ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ได้ทันทีเพียงประการเดียว ไม่มีข้อความตอนใดแสดงให้เห็นว่ามีการตกลงกันให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ได้สองวิธีคือ นำทรัพย์จำนองตีราคาชำระหนี้ หรือนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ การที่สัญญาระบุว่าจำเลยทั้งสามรับว่าเป็นหนี้และตกลงร่วมกันหรือแทนกันชำระหนี้ก็เป็นเพียงการยอมรับข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้องเท่านั้น ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมทำให้มูลหนี้เดิมระงับ โจทก์และจำเลยทั้งสามต้องผูกพันกันตามมูลหนี้ใหม่โจทก์ชอบที่จะบังคับคดีโดยถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โจทก์หามีสิทธิเลือกบังคับคดีด้วยวิธีการยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาชำระหนี้ตามมูลหนี้เดิมแก่โจทก์ไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้เป็นเงิน 1,086,829.35 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง ต่อมาโจทก์และจำเลยทั้งสามตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงนำยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 3392 ตำบลห้างฉัตร อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง และที่ดินโฉนดเลขที่ 27852 ถึง 27854 ตำบลห้างฉัตร อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการยึดและประกาศขายทอดตลาดทรัพย์จำนองเนื่องจากการบังคับคดีไม่เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึดและการประกาศขายทอดตลาดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 3392 ตำบลห้างฉัตร อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง และที่ดินโฉนดเลขที่ 27852 ถึง 27854 ตำบลห้างฉัตร อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง พร้อมสิ่งปลูกสร้าง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2550 โจทก์และจำเลยทั้งสามทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด ต่อมาจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง โจทก์จึงนำยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 3392 ตำบลห้างฉัตร อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง และที่ดินโฉนดเลขที่ 27852 ถึง 27854 ตำบลห้างฉัตร อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด ปรากฏตามสัญญาประนีประนอมมีข้อความในสาระสำคัญว่า จำเลยทั้งสามตกลงยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องและตกลงร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 1,086,829.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี ของต้นเงิน 1,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยจำเลยทั้งสามตกลงชำระหนี้โจทก์โดยนำทรัพย์จำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 3392 ตำบลห้างฉัตร อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง และที่ดินโฉนดเลขที่ 27852 ถึง 27854 ตำบลห้างฉัตร อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง พร้อมสิ่งปลูกสร้างจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ภายใน 30 วัน นับแต่วันทำสัญญา ค่าภาษีและค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ จำเลยทั้งสามเป็นผู้ชำระทั้งหมด หากจำเลยทั้งสามผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีและยอมให้โจทก์ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้ทันที และโจทก์ยอมตามข้อตกลงโดยไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความกำหนดไว้ชัดแจ้งให้จำเลยทั้งสามโอนทรัพย์จำนองตีใช้หนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ ไม่มีข้อความตอนใดกำหนดหรือแสดงให้เห็นว่าโจทก์และจำเลยทั้งสามตกลงกันให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ได้สองวิธีคือ นำทรัพย์จำนองตีราคาชำระหนี้ หรือนำเงินตามสัญญาประนีประนอมมาชำระหนี้แก่โจทก์ภายใน 30 วัน นับแต่วันทำสัญญาดังที่โจทก์อ้างแต่อย่างใด การที่สัญญาดังกล่าวระบุว่าจำเลยทั้งสามรับว่าเป็นหนี้และตกลงร่วมกันหรือแทนกันชำระหนี้ก็เป็นเพียงการยอมรับข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้องเท่านั้น ดังนี้ เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสามตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยตกลงให้จำเลยทั้งสามนำทรัพย์จำนองตีชำระหนี้แก่โจทก์เพียงประการเดียว ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมทำให้มูลหนี้เดิมระงับ โจทก์และจำเลยทั้งสามจึงต้องผูกพันกันตามมูลหนี้ใหม่ โดยจำเลยทั้งสามต้องโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์จำนองให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงชอบที่จะบังคับคดีโดยถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ตามที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว โจทก์หามีสิทธิเลือกบังคับคดีด้วยวิธีการยึดทรัพย์จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อนำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาชำระหนี้ตามมูลหนี้เดิมแก่โจทก์ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share