คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5643/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำว่า “ศาล” ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 24หมายถึงศาลที่มีคำสั่งหรือความเห็นชอบในการกระทำใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของลูกหนี้เฉพาะในกรณีที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 เท่านั้น
พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มิได้บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งหรือให้ความเห็นชอบในกรณีที่จำเลยผ่อนชำระเงินตามเช็คให้แก่ผู้คัดค้านภายหลังจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเพื่อให้ผู้คัดค้านถอนฟ้องคดีอาญาแก่จำเลย แม้ศาลในคดีอาญาจดรายงานกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านและให้เลื่อนการพิพากษาคดีอาญาไป ก็หาใช่ศาลที่ให้ความยินยอมตามความหมายแห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 24 ไม่
ปัญหาที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483มาตรา 22 และ 24 ไม่ได้บัญญัติให้อำนาจผู้ร้องที่จะร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ของจำเลยได้ ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้นั้นแม้ผู้คัดค้านจะมิได้ยกข้อต่อสู้ดังกล่าวไว้ในคำคัดค้าน และมิได้ยกขึ้นอ้างในศาลชั้นต้นก็ตาม แต่กรณีเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนผู้คัดค้านย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกาได้ และศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาต้องวินิจฉัยให้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 225 วรรคสอง และ 249 วรรคสองประกอบด้วย พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรไม่รับวินิจฉัยปัญหานี้ให้เป็นการไม่ชอบ และแม้ผู้คัดค้านจะมิได้ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อนี้ แต่กลับยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่
การชำระหนี้ของจำเลยให้แก่ผู้คัดค้านเป็นการชำระหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด ย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ มาตรา22 และ 24 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 จึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องซึ่งมีอำนาจในการจัดการและรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยย่อมมีอำนาจร้องขอให้ผู้คัดค้านคืนเงินที่จำเลยชำระได้
ปัญหาที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ผู้คัดค้านชำระดอกเบี้ยจากต้นเงินที่ต้องคืนด้วยนั้นไม่ชอบ เพราะผู้คัดค้านรับชำระหนี้จากจำเลยโดยสุจริต เข้าข้อยกเว้นตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 114 และที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการชำระหนี้ของจำเลยขัดต่อมาตรา 22 และ 24 ไม่ว่าผู้คัดค้านจะทราบว่าจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์หรือไม่นั้น ไม่ชอบด้วยเช่นกัน เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ผู้คัดค้านจะมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นต่อสู้ไว้ในคำคัดค้าน ผู้คัดค้านย่อมมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกาได้ และศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาต้องวินิจฉัยให้
การชำระหนี้ของจำเลยตกเป็นโมฆะ เพราะฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 22 และ 24 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 เงินที่ผู้คัดค้านรับไว้จากจำเลย จะต้องคืนให้แก่จำเลยฐานลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 412แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าก่อนยื่นคำร้องคดีนี้ ผู้ร้องได้เรียกร้องให้ผู้คัดค้านคืนเงินให้จึงต้องถือว่าผู้ร้องเรียกร้องให้ผู้คัดค้านคืนเงินนับแต่วันยื่นคำร้องในคดีนี้เป็นต้นไป
คดีนี้ผู้คัดค้านจะอ้างว่าได้รับชำระหนี้จากจำเลยโดยสุจริตเข้าข้อยกเว้นตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 114 ไม่ได้ เพราะผู้ร้องมิได้ร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามบทมาตราดังกล่าว ทั้งการร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามมาตรา 114 จะต้องเป็นการกระทำในระหว่างระยะเวลา 3 ปี ก่อนมีการขอให้ล้มละลายและภายหลังเท่านั้น อันหมายถึงการชำระหนี้ที่กระทำก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ หาใช่เป็นการชำระหนี้ที่กระทำหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดดังเช่นคดีนี้ไม่ ดังนี้ การชำระหนี้ของจำเลยจึงขัดต่อมาตรา 22 และ 24 ไม่ว่าผู้คัดค้านจะทราบว่าจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์หรือไม่และตกเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับ ผู้ร้องย่อมร้องขอให้ผู้คัดค้านคืนเงินในส่วนนี้ได้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่๒๒ มิถุนายน ๒๕๓๒ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ ๒๐สิงหาคม ๒๕๓๓ จำเลยยังไม่พ้นภาวะล้มละลาย เมื่อระหว่างวันที่ ๒๑ สิงหาคม๒๕๓๓ ถึงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๓๔ ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด จำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านรวมเป็นเงินทั้งสิ้น๗๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านดังกล่าวและให้ผู้คัดค้านคืนเงิน ๗๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีในต้นเงินที่ชำระแต่ละครั้งนับแต่วันที่จำเลยชำระให้ในแต่ละคราวจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด จำเลยและบุคคลภายนอกได้ชำระเงินให้แก่ผู้คัดค้านรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๐๐,๐๐๐ บาท การชำระหนี้ดังกล่าวสืบเนื่องมาจากเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน ๒๕๒๔ จำเลยออกเช็ครวม ๕ ฉบับ สั่งจ่ายเงินทั้งสิ้น ๔,๗๙๐,๐๐๐ บาทและนำมาแลกเงินสดจากผู้คัดค้าน แต่เช็คทั้งห้าฉบับเรียกเก็บเงินไม่ได้ ผู้คัดค้านจึงฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ครวม ๒ คดี ต่อมาวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๓๐ จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องทั้งสองคดี และตกลงกับผู้คัดค้านโดยจำเลยยอมผ่อนชำระเงินให้แก่ผู้คัดค้าน๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท แล้วผู้คัดค้านจะถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าว ส่วนเงินที่เหลือผู้คัดค้านจะไปว่ากล่าวในคดีแพ่ง เมื่อตกลงกันได้ศาลจึงเลื่อนการพิพากษาคดีไป หลังจากนั้นจำเลยได้ผ่อนชำระเงินให้แก่ผู้คัดค้านและขอเลื่อนการพิพากษาคดีเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๓๔ ผู้คัดค้านจึงได้รับชำระหนี้ครบถ้วนและได้ถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าว การชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านภายหลังจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดรวม ๗๐๐,๐๐๐ บาท นั้น เป็นเงินของจำเลยเพียง ๓๐๐,๐๐๐ บาท เท่านั้นส่วนอีก ๔๐๐,๐๐๐ บาท เป็นการชำระของบุคคลภายนอกโดยจำเลยนำเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาราชบุรี ของนางทัศนีย์ ศิริชัย รวม ๕ ฉบับมาชำระให้แก่ผู้คัดค้านต่อหน้าศาล แต่เช็คดังกล่าวเรียกเก็บเงินไม่ได้ ต่อมานางทัศนีย์ได้ชำระเงินสดแลกเอาเช็คคืนไป การชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านดังกล่าวเป็นการกระทำโดยความเห็นชอบของศาลอันเข้าข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๒๔ ไม่เป็นโมฆะ ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านคืนเงิน ๗๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๒๑ สิงหาคม๒๕๓๓ ในต้นเงิน ๑๓๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๓ ในต้นเงิน๑๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๓ ในต้นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๓๔ ในต้นเงิน ๕๑,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๓๔ในต้นเงิน ๔๙,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๓๔ และในต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐บาท นับแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๓๔ จนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่าจำเลยได้ออกเช็ครวม ๕ ฉบับ สั่งจ่ายเงินทั้งสิ้น ๔,๗๙๐,๐๐๐ บาท และมอบให้แก่ผู้คัดค้านเพื่อชำระหนี้ แต่เช็คดังกล่าวเรียกเก็บเงินไม่ได้ ผู้คัดค้านจึงฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ครวม ๒ คดี จำเลยตกลงยอมผ่อนชำระหนี้และได้ผ่อนชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านแล้วบางส่วน รวมทั้งได้นำเช็คของนางทัศนีย์ ศิริชัย น้องสาวจำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้าน แต่เช็คดังกล่าวเรียกเก็บเงินไม่ได้เช่นกัน ผู้คัดค้านฟ้องนางทัศนีย์เป็นคดีอาญาในความผิดเดียวกันกับจำเลย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๓๓ ภายหลังจากนั้นได้มีการชำระเงินตามเช็คดังกล่าวรวม ๗๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่ผู้คัดค้าน โดยชำระเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๓๓จำนวน ๗๐,๐๐๐ บาท วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๓ จำนวน ๑๓๐,๐๐๐ บาท วันที่๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๓ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๓๔ จำนวน๒๐๐,๐๐๐ บาท วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๓๔ จำนวน ๕๑,๐๐๐ บาท วันที่ ๒๒เมษายน ๒๕๓๔ จำนวน ๔๙,๐๐๐ บาท และวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๓๔ จำนวน๑๐๐,๐๐๐ บาท ผู้คัดค้านจึงถอนฟ้องคดีอาญาที่ฟ้องจำเลยและนางทัศนีย์ดังกล่าว
ปัญหาข้อแรกที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า คำว่า “ศาล” ตามที่บัญญัติในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๒๔ มิได้หมายความว่าต้องเป็นศาลที่พิจารณาคดีล้มละลายเท่านั้น แต่หมายถึง ศาลแห่งราชอาณาจักรไทยนั้นเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๒๔ ที่บัญญัติว่า “เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว ห้ามมิให้ลูกหนี้กระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของตน เว้นแต่จะได้กระทำตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาล…ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้” ฉะนั้น คำว่า “ศาล” ในบทมาตราดังกล่าวจึงหมายถึงศาลที่มีคำสั่งหรือความเห็นชอบในการกระทำใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของลูกหนี้เฉพาะในกรณีที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓เท่านั้น เมื่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มิได้บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งหรือให้ความเห็นชอบในกรณีที่จำเลยผ่อนชำระเงินตามเช็คให้แก่ผู้คัดค้านภายหลังจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเพื่อให้ผู้คัดค้านถอนฟ้องคดีอาญาแก่จำเลย แม้ศาลจดรายงานกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้าน และให้เลื่อนการพิพากษาคดีอาญาไป ก็หาใช่ศาลที่ให้ความยินยอมตามความหมายแห่งมาตรา ๒๔ ดังกล่าวไม่
ปัญหาข้อสองที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๒๒ และ ๒๔ ไม่ได้บัญญัติให้อำนาจผู้ร้องที่จะร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ของจำเลยได้ ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้นั้น เห็นว่า แม้ผู้คัดค้านจะมิได้ยกข้อต่อสู้ดังกล่าวไว้ในคำคัดค้าน และมิได้ยกขึ้นอ้างในศาลชั้นต้นก็ตาม แต่กรณีเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ผู้คัดค้านย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกาได้ และศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาต้องวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๒๕ วรรคสอง และ ๒๔๙ วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๕๓ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรไม่รับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบและแม้ผู้คัดค้านจะมิได้ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อนี้ แต่กลับยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ได้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การชำระหนี้ของจำเลยให้แก่ผู้คัดค้าน นับแต่วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๓๓ เป็นต้นไป เป็นการชำระหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด ย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ มาตรา ๒๒ และ ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓จึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับ ผู้ร้องซึ่งมีอำนาจในการจัดการและรวบรวมทรัพย์สินของจำเลย ย่อมมีอำนาจร้องขอให้ผู้คัดค้านคืนเงินที่จำเลยชำระได้
ปัญหาข้อสามที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ผู้คัดค้านชำระดอกเบี้ยจากต้นเงินที่ต้องคืนด้วยนั้นไม่ชอบ เพราะผู้คัดค้านรับชำระหนี้จากจำเลยโดยสุจริต เข้าข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา๑๑๔ และที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการชำระหนี้ของจำเลยขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๒๒ และ ๒๔ ไม่ว่าผู้คัดค้านจะทราบว่าจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์หรือไม่นั้น ไม่ชอบด้วยเช่นกัน เห็นว่า กรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมาย อันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ผู้คัดค้านจะมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นต่อสู้ไว้ในคำคัดค้าน ผู้คัดค้านย่อมมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกาได้ และศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาต้องวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕วรรคสอง และ ๒๔๙ วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓มาตรา ๑๕๓ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรไม่รับวินิจฉัยให้นั้นไม่ชอบ แม้ผู้คัดค้านจะมิได้ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อนี้ แต่กลับยกปัญหาดังกล่าวขึ้นโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ ในปัญหาดังกล่าวเมื่อฟังว่าการชำระหนี้ของจำเลยตกเป็นโมฆะ เพราะฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา ๒๒ และ ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ เงินที่ผู้คัดค้านรับไว้จากจำเลย จะต้องคืนให้แก่จำเลยฐานลาภมิควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๑๒หากมีการเรียกเงินดังกล่าวคืน แต่ผู้คัดค้านไม่คืนให้ ต้องถือว่าผู้คัดค้านตกอยู่ในฐานะทุจริตจำเดิมแต่เวลาที่ถูกเรียกคืน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๑๕ วรรคสอง และตกเป็นผู้ผิดนัดจะต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่เวลานั้นเป็นต้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๐๓ วรรคหนึ่ง และ๒๐๔ วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าก่อนยื่นคำร้องคดีนี้ ผู้ร้องได้เรียกร้องให้ผู้คัดค้านคืนเงินให้ จึงต้องถือว่าผู้ร้องเรียกร้องให้ผู้คัดค้านคืนเงินนับแต่วันยื่นคำร้องในคดีนี้เป็นต้นไป และคดีนี้ผู้คัดค้านจะอ้างว่าได้รับชำระหนี้จากจำเลยโดยสุจริตเข้าข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๔ ไม่ได้ เพราะผู้ร้องมิได้ร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามบทมาตราดังกล่าว ทั้งการร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามมาตรา ๑๑๔จะต้องเป็นการกระทำในระหว่างระยะเวลา ๓ ปี ก่อนมีการขอให้ล้มละลายและภายหลังเท่านั้น อันหมายถึงการชำระหนี้ที่กระทำก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์หาใช่เป็นการชำระหนี้ที่กระทำหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดดังเช่นคดีนี้ไม่ กรณีต้องปรับตามมาตรา ๒๔ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการชำระหนี้ของจำเลยขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๒๒ และ๒๔ ไม่ว่าผู้คัดค้านจะทราบว่าจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์หรือไม่ จึงชอบแล้ว
ปัญหาข้อสุดท้ายที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า ผู้คัดค้านรับชำระหนี้รวม๔๐๐,๐๐๐ บาท ในส่วนที่เกี่ยวกับเช็คของนางทัศนีย์น้องสาวจำเลยเป็นเงินของนางทัศนีย์ ไม่ใช่เงินของจำเลย ผู้ร้องจึงไม่อาจร้องขอให้เพิกถอนการรับชำระหนี้ดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เงินที่ชำระดังกล่าวเป็นเงินของจำเลย หาใช่เงินของนางทัศนีย์ไม่ เมื่อเป็นการชำระหนี้ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว การชำระหนี้ของจำเลยจึงเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา ๒๒ และ ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ และตกเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับ ผู้ร้องย่อมร้องขอให้ผู้คัดค้านคืนเงินในส่วนนี้ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้คัดค้านชำระดอกเบี้ยอัตรารัอยละ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๗๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share