คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5641/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ย่อมอยู่ในฐานะบุคคลภายนอกที่ได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง ผู้ร้องไม่อาจอ้างการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ขึ้นยันกับโจทก์ได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิบังคับจำนองแก่ที่ดินพิพาทได้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาท

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 224,331.78 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จากต้นเงิน 197,138.36 บาท นับแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2541 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 24583 และ 6060 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด หากไม่พอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยต่อไปจนกว่าจะครบถ้วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท จำเลยไม่ชำระ โจทก์ขอให้บังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 24583 ตำบลตะกุด อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์โดยได้ประเมินราคาไว้ 210,000 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายบุญทัน น้อยจุฬา เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2526 นายบุญทันบิดาผู้ร้องได้ตกลงจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยราคา 50,000 บาท โดยได้วางเงินมัดจำนวน 2,000 บาท แล้วได้ผ่อนชำระเป็นงวด งวดละเดือน เดือนละ 1,000 บาท ให้แก่จำเลยครบถ้วนตั้งแต่ปี พ.ศ.2528 แต่จำเลยไม่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้บิดา ผู้ร้องได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยปลูกบ้านและอยู่อาศัยตลอดเรื่อยมานับแต่วันทำสัญญาจะซื้อจะขายจนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2538 และผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อมาจนถึงปัจจุบันเกินกว่า 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ทั้งเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนจำเลยได้สมรู้กันจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 24583 ตำบลตะกุล อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี และเพิกถอนทะเบียนการจดจำนองที่ดินพิพาทแปลงดังกล่าว
โจทก์ให้การว่า กรรมสิทธิ์ในที่ดินยังไม่โอนไปยังบิดาผู้ร้องเพราะเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขาย และตามสัญญาดังกล่าวก็มิได้ระบุว่าซื้อที่ดินแปลงใด การเข้าครอบครองของบิดาผู้ร้องเป็นการเข้าครอบครองที่ดินแทนจำเลย แม้ครอบครองนานอยู่เพียงใด กรรมสิทธิ์ยังหาได้โอนไปไม่ เมื่อบิดาผู้ร้องถึงแก่ความตาย ผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาก็ไม่มีสิทธิกว่าบิดาผู้ร้อง โจทก์เป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขัดทรัพย์ ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่าผู้ร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ได้หรือไม่ เห็นว่า ตามฎีกาของผู้ร้องอ้างเพียงว่านายบุญทัน น้อยจุฬา บิดาผู้ร้องได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับจำเลยและได้ชำระราคาครบถ้วนแล้วในปี 2528 โดยบิดาผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทนับแต่บิดาผู้ร้องได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทนั้นตลอดมาจนกระทั่งบิดาผู้ร้องถึงแก่ความตายและผู้ร้องได้ครอบครองต่อมาอีกโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ก่อนโจทก์ยึดที่ดินพิพาทเท่านั้น ดังนี้ แม้หากข้อเท็จจริงได้ความตามคำร้องขอของผู้ร้องว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองดังที่อ้างแต่ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าโจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยไม่มีค่าตอบแทนหรือไม่สุจริตแต่ประการใด จึงต้องฟังว่าโจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ย่อมอยู่ในฐานะบุคคลภายนอกที่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ที่ผู้ร้องไม่อาจอ้างการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ขึ้นยันกับโจทก์ได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิบังคับจำนองแก่ที่ดินพิพาทได้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาท”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share