แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลต้องดำเนินการบังคับคดีก่อนหลังไปตามลำดับดังที่ระบุไว้ในคำพิพากษา การที่โจทก์เลือกใช้วิธีถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยที่ 1ในการโอนที่ดินพิพาทโดยโจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆในการโอนเป็นเงิน 36,879,705 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่ได้ตกลงด้วยนั้น ย่อมไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 อีกทั้งเป็นเรื่องนอกคำพิพากษา เพราะในคำพิพากษาไม่ปรากฏให้จำเลยที่ 1จะต้องรับผิดค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแต่อย่างใด ฉะนั้น หากโจทก์เสียหายอย่างไรก็ต้องไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยที่ 1 เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จะขอหักกลบลบหนี้ทำให้การบังคับคดีมีผลผิดไปจากคำพิพากษาหาได้ไม่ เพราะการที่โจทก์จะร้องขอให้หักกลบลบหนี้ได้ก็ต่อเมื่อมีคำพิพากษา ของศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 ตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์เสียก่อน ลำพังแต่เพียงระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายที่ดินว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายออกค่าธรรมเนียมและภาษีในการโอนตามข้อฎีกาของโจทก์โดยจำเลยที่ 1 ยังโต้แย้งจำนวนหนี้อยู่นั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจร้องขอให้ศาลงดจ่ายเงินที่วางต่อศาลให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและชอบที่จะรับเงินค่าที่ดินที่โจทก์วางชำระไว้จำนวน 14,077,000 บาท ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 66376, 66378 และ 66379ตำบลบางบอน อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พร้อมกับจดทะเบียนภารจำยอมที่ดินเฉพาะส่วนของโฉนดเลขที่ 3969ตำบลบางบอน อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ที่ตรงและมีส่วนกว้างเท่ากับที่ดินที่นายวินัย พันธุมจินดา ได้จดทะเบียนภารจำยอมไว้แล้วนั้นให้โจทก์และรับเงินค่าที่ดินจำนวน14,077,000 บาท จากโจทก์ ทั้งนี้ให้โจทก์นำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางศาลภายในกำหนด 180 วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษา หากโจทก์ไม่วางเงินในกำหนดถือว่าโจทก์ผิดสัญญา จำเลยมีสิทธิที่จะริบเงินที่ชำระแล้วทั้งหมด และโจทก์หมดสิทธิที่จะบังคับคดีตามคำพิพากษานี้ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน หากจำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนและจดทะเบียนภารจำยอมได้ ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินค่าที่ดินที่ชำระไว้6,000,000 บาท และชำระค่าเบี้ยปรับเท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับชำระไว้ทั้งหมดอีก 6,000,000 บาท รวม 12,000,000 บาทกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
ระหว่างบังคับคดี จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 เข้ารับมรดกความในฐานะทายาทจำเลยที่ 1
โจทก์ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาโดยนำเงินค่าที่ดินที่เหลือจำนวน 14,077,000 บาท มาวางศาล ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้งดการจ่ายเงินค่าที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 ไว้ก่อนเพราะจำเลยที่ 1 ต้องชำระเงินค่าธรรมเนียมและค่าภาษีการโอนที่ดินดังกล่าวตามสัญญาจะซื้อจะขาย และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้งดการจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ไว้ก่อน ต่อมาโจทก์ได้นำคำพิพากษาศาลฎีกาไปบังคับคดีแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1และชำระภาษีแทนจำเลยที่ 1 ไปก่อนเป็นเงินจำนวน 36,879,705 บาทโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลหักเงินค่าที่ดินจำนวน 14,077,000 บาทที่โจทก์ได้วางไว้ต่อศาลเพื่อชำระเป็นค่าธรรมเนียมและค่าภาษีในการโอนที่ดินส่วนนี้แก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับมรดกความแทนจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลจ่ายเงินค่าที่ดินจำนวน 14,077,000 บาท แก่จำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว ดังนั้น เงินที่โจทก์ได้วางศาลเพื่อชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับมรดกความแทนจำเลยที่ 1 จึงชอบที่จะรับเงินดังกล่าวไปจากศาลได้ ส่วนที่โจทก์ขอให้งดการจ่ายเงินดังกล่าวเนื่องจากจำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าธรรมเนียมและค่าภาษีในการจดทะเบียนโอนตามสัญญาจะซื้อขายนั้นเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากจากคำพิพากษา ซึ่งโจทก์จะต้องไปว่ากล่าวกับจำเลยที่ 2 นอกเหนือจากคดีนี้ จึงมีคำสั่งอนุญาตให้เบิกจ่ายเงินจำนวน 14,077,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับมรดกความแทนจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 14,077,000 บาท หากจำเลยที่ 1 ไม่โอนโจทก์เลือกปฏิบัติได้สองประการ กล่าวคือ ให้โจทก์ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยที่ 1 ในการโอนที่ดินพิพาท หรือมิฉะนั้นให้จำเลยที่ 1 คืนเงินค่าที่ดินที่ชำระไว้ 6,000,000 บาทกับเบี้ยปรับอีก 6,000,000 บาท รวมเป็น 12,000,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องให้แก่โจทก์ ดังนี้ การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลจึงต้องดำเนินการบังคับคดีก่อนหลังไปตามลำดับดังที่ระบุไว้ในคำพิพากษาเมื่อโจทก์เลือกที่จะรับโอนที่ดินพิพาทโจทก์จึงต้องชำระเงินแก่จำเลยที่ 1 เป็นเงินจำนวน 14,077,000 บาท การที่โจทก์เลือกใช้วิธีถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยที่ 1ในการโอนที่ดินพิพาทโดยโจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในการโอนเป็นเงิน 36,879,705 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่ได้ตกลงด้วยนั้นย่อมไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 อีกทั้งเป็นเรื่องนอกคำพิพากษาเพราะในคำพิพากษาไม่ปรากฏให้จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแต่อย่างใด ฉะนั้น หากโจทก์เสียหายอย่างไรก็ต้องไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยที่ 1 เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จะขอหักกลบลบหนี้ทำให้การบังคับคดีมีผลผิดไปจากคำพิพากษาหาได้ไม่ และการที่โจทก์จะร้องขอให้หักกลบลบหนี้ได้ก็ต่อเมื่อมีคำพิพากษาของศาลบังคับให้จำเลยที่ 1ตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์เสียก่อนลำพังแต่เพียงระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายที่ดินว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายออกค่าธรรมเนียมและภาษีในการโอนตามข้อฎีกาของโจทก์โดยจำเลยที่ 1 ยังโต้แย้งจำนวนหนี้อยู่นั้นยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจร้องขอให้ศาลงดจ่ายเงินที่วางต่อศาลให้แก่จำเลยที่ 1 ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและชอบที่จะรับเงินค่าที่ดินที่โจทก์วางชำระไว้จำนวน 14,077,000 บาทได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน