คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 564/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

หนังสือสุทธิสำหรับพระภิกษุ ใบมรณบัตร ใบแต่งตั้งเป็นพระครูคำขอรับมรดกของมารดาและบัญชีเงินฝากต่างระบุว่าผู้ตายอยู่วัดผู้ร้อง แสดงว่าผู้ตายถือเอาวัดผู้ร้องเป็นสถานที่อยู่เป็นแหล่งสำคัญ วัดผู้ร้องจึงเป็นภูมิลำเนาของผู้ตาย ทรัพย์สินของผู้ตายที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ จึงตกเป็นสมบัติของวัดผู้ร้องที่เป็นภูมิลำเนาของผู้ตาย

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้อง ขอให้ศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของพระครูศรีวรปรีชา
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้าน ขอให้ศาลตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดก
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของพระครูศรีวรปรีชา
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของผู้คัดค้านนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า วัดผู้ร้องแม้จะเป็นที่สังกัดของพระครูศรีวรปรีชา ก็เป็นเพียงสถานที่อุปสมบทเท่านั้นภูมิลำเนาของพระครูศรีวรปรีชาคือวัดมหาพุทธารามนั้น ปรากฏตามเอกสารหมาย ร.2 หนังสือสุทธิสำหรับพระภิกษุและสามเณรระบุว่าพระครูศรีวรปรีชา สังกัดวัดผู้ร้อง เอกสารหมายร.4 ใบมรณบัตรของเทศบาลเมืองศรีสะเกษระบุว่า ผู้ตายอยู่ตำบลสระกำแพงใหญ่ เอกสารหมาย ร.5 ใบแต่งตั้งเป็นพระครูศรีวรปรีชาก็ระบุว่าอยู่วัดผู้ร้อง เอกสารหมาย ร.7 คำขอรับมรดกของมารดาก็ว่าอยู่ที่บ้านกำแพง บัญชีเงินฝากธนาคารสหธนาคาร ตามเอกสารหมายร.12 ของพระครูศรีวรปรีชา ก็ว่าอยู่วัดผู้ร้องจากเอกสารต่าง ๆเหล่านี้แสดงว่า พระครูศรีวรปรีชาถือเอาวัดผู้ร้องเป็นสถานที่อยู่เป็นแหล่งสำคัญ วัดผู้ร้องจึงเป็นภูมิลำเนาของพระครูศรีวรปรีชา เมื่อพระครูศรีวรปรีชาถึงแก่มรณภาพ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 ทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศนั้น ให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น ดังนั้นที่ศาลล่างทั้งสองเห็นสมควรตั้งวัดผู้ร้อง เป็นผู้จัดการมรดกของพระครูศรีวรปรีชาจึงชอบแล้ว ฎีกาผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share