แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ร่วมซึ่งไม่มีอาวุธติดตัวได้เข้าไปในบริเวณบ้านของผู้อื่นในเวลากลางคืนโดยไม่มีเหตุสมควร ถือว่าเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย เมื่อจำเลยมาพบเข้า โจทก์ร่วมก็วิ่งหนีออกมาเหตุละเมิดจึงหมดไป การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมด้านหลัง ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68
จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงโจทก์ร่วม จำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำว่าหากกระสุนปืนถูกโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมย่อมได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เมื่อการกระทำนั้นไม่บรรลุผล จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย ๑ นัด โดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญและแพทย์ทำการรักษาผู้เสียหายทันท่วงที ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ และคืนของกลางแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายอุดร ศรีถาวร ผู้เสียหายร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘,๘๐, ๖๙ จำคุก ๒ ปี คืนของกลางแก่โจทก์ร่วม
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๘๐ จำคุก ๑๐ ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ เป็นจำคุก ๖ ปี ๘ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า วันเกิดเหตุโจทก์ร่วมกลับจากธุระแล้วเดินผ่านบ้านนายบุญเพ็ง เชิมชัยภูมิ ได้ยินเสียงนายบุญเพ็งพูดทางเครื่องขยายเสียงจึงเข้าไปดู ขณะนั้นจำเลยซึ่งเป็นน้องภริยาของนายบุญเพ็งอ้างว่ากำลังเดินตรวจอยู่เห็นชายสามคนเข้ามาในบริเวณบ้านนายบุญเพ็ง ชายคนหนึ่งใช้ก้อนหินขว้างหลังคาบ้านนายบุญเพ็งและชายอีกคนหนึ่งถืออาวุธปืนลูกซองยาววิ่งเข้ามาและทำท่าจะยิงจำเลย จำเลยยิงสวนไป ๑ นัด ต่อมาทราบว่ากระสุนปืนถูกโจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บ จำเลยแจ้งเรื่องให้นายบุญเพ็งทราบ นายบุญเพ็งอ้างว่าไม่ทราบว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงไปนั้นจะถูกผู้ใด แต่ทราบว่าโจทก์ร่วมถูกยิงได้รับบาดเจ็บจึงแจ้งความว่าโจทก์ร่วมบุกรุก พนักงานสอบสวนได้ตรวจสถานที่เกิดเหตุพบรอยเลือดที่บริเวณบ้านนายบุญเพ็งและที่บริเวณบ้านโจทก์ร่วม กับทราบว่าโจทก์ร่วมถูกยิงได้รับบาดเจ็บและรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหนองบัวแดงจำเลยรับว่าได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ที่เข้ามาในบริเวณบ้านนายบุญเพ็งจริง แต่เป็นการป้องกัน มีปัญหาตามที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าหลังจากเกิดเหตุแล้ว จำเลยได้แจ้งและเล่ารายละเอียดให้นายบุญเพ็งทราบว่าได้ยิงคนร้าย เมื่อเจ้าพนักงาน-ตำรวจมาที่เกิดเหตุ จำเลยก็ได้เล่ารายละเอียดและนำชี้ที่เกิดเหตุ น่าเชื่อว่าโจทก์ร่วมได้เข้าไปในบริเวณบ้านนายบุญเพ็งในคืนเกิดเหตุ ปัญหาว่าโจทก์ร่วมไปกับพวกอีก ๒ คนหรือไม่ เห็นว่า ในคดีที่นายบุญเพ็งกล่าวหาว่าโจทก์ร่วมบุกรุกนั้น ไม่ปรากฏว่ามีพวกของโจทก์ร่วมถูกดำเนินคดีด้วย คงดำเนินคดีเฉพาะโจทก์ร่วมแต่เพียงผู้เดียว และจำเลยได้เบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ร่วมว่า ขณะที่ยิงปืนจำเลยจ้องเล็งไปทางโจทก์ร่วมซึ่งกำลังวิ่งหนี ส่วนอีกสองคนนั้นจำเลยไม่ได้เล็งปืนไปเพราะไม่ได้วิ่งหนี ซึ่งขัดกับคำเบิกความของจำเลยที่ได้ตอบคำซักถามของทนายจำเลยว่าชายคนที่ขว้างหันหลังทำท่าจะหลบหนี แต่ชายอีกคนหนึ่งในจำนวนสองคนที่ยืนคุมเชิงอยู่ริมรั้ววิ่งเข้ามาหาจำเลยและมีอาวุธปืนลูกซองยาวติดตัวมาด้วย ชายคนนั้นยกอาวุธปืนขึ้นทำท่าจะยิงจำเลย จำเลยจึงยิงสวนออกไป ๑ นัดเข้าใจว่าคงถูกคนใดคนหนึ่งในสามคนนั้น น่าเชื่อว่าโจทก์ร่วมเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุเพียงคนเดียวเพราะหากโจทก์ร่วมวิ่งหนีแล้ว พวกของโจทก์ร่วมยังอยู่อีก ๒ คน จำเลยไม่น่าจะยิงคนที่กำลังวิ่งหนีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเมื่อพิเคราะห์ลักษณะบาดแผลที่โจทก์ร่วมถูกยิงด้านหลัง แสดงว่าโจทก์ร่วมถูกยิงขณะกำลังวิ่งหนีออกจากบริเวณบ้านของนายบุญเพ็ง การที่โจทก์ร่วมเข้าไปในบริเวณบ้านของนายบุญเพ็งในเวลากลางคืนโดยไม่มีเหตุสมควรอันเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย แต่เมื่อจำเลยมาพบโจทก์ร่วมก็ได้วิ่งหนีออกมา เหตุละเมิดดังกล่าวจึงหมดไปแล้ว ประกอบกับข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมมีอาวุธติดตัวไปในที่เกิดเหตุ จำเลยจึงไม่ต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดขึ้นจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย เพราะภยันตรายดังกล่าวพ้นไปแล้ว จำเลยน่าจะใช้วิธีอื่นเพื่อจับกุมตัวโจทก์ร่วมมาดำเนินคดีเท่านั้น การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมด้านหลังขณะที่โจทก์ร่วมกำลังวิ่งหนี จึงไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๘ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมจำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นว่าหากกระสุนปืนไปถูกโจทก์ร่วมแล้ว โจทก์ร่วมย่อมได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เพราะเป็นอาวุธที่ร้ายแรง เมื่อการกระทำนั้นไม่บรรลุผลเพราะกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญและแพทย์ทำการรักษาโจทก์ร่วมได้ทัน โจทก์ร่วมจึงไม่ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ และศาลอุทธรณ์ได้ใช้ดุลพินิจลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามนั้นเป็นผลดีแก่จำเลยอยู่แล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.