คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 563/2523

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ลูกหนี้โอนที่ดินของตนให้แก่ผู้อื่นเพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งเจ้าหนี้ได้ฟ้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้แล้ว ลูกหนี้ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ส่วนผู้อื่นที่รับโอนทรัพย์นั้นจะมีความผิดตาม มาตรา 350 ก็ต่อเมื่อรู้ว่าลูกหนี้มีหนี้ที่เจ้าหนี้ได้ใช้สิทธิทางศาลแล้ว ถ้าไม่รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ไม่มีความผิด ตามมาตรา 350

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1,2 สามีภริยาซึ่งเป็นลูกหนี้ผู้โอนที่ดินแก่จำเลยที่ 3 คนละ 6 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 จำคุกจำเลยที่ 3 3 เดือนตามมาตรา 350 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350นั้น ปรากฏว่าศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของตนให้แก่จำเลยที่ 3 เพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งโจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ดังกล่าวเข้าหลักเกณฑ์เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350แล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฟังไม่ขึ้น

ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2ด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับโอนทรัพย์จากลูกหนี้และเป็นคนนอกคดีในคำพิพากษาคดีแพ่ง จำเลยที่ 3 จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 ก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 3 ได้รู้อยู่ว่ามีหนี้ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ผูกพันจะต้องชำระให้โจทก์อยู่ และต้องรู้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิทางศาลแล้วด้วย ถ้าหากจำเลยที่ 3 ไม่รู้ข้อเท็จจริงของลูกหนี้ดังกล่าวก็ย่อมไม่มีความผิด ศาลฎีกาพิเคราะห์ข้อนำสืบของโจทก์แล้วปรากฏว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 3ได้รู้อยู่ว่ามีหนี้ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ผูกพันจะต้องชำระให้โจทก์ และได้รู้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิทางศาลแล้วแต่อย่างใดเลยฝ่ายจำเลยที่ 3 นำสืบยืนยันว่าจำเลยที่ 3 ไม่เคยทราบว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีแพ่ง ข้อที่โจทก์กล่าวหาในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 แกล้งให้ตนเป็นลูกหนี้การกู้ยืมของจำเลยที่ 3 อันไม่เป็นความจริงการสมคบกันนั้นโจทก์ก็เบิกความแต่เพียงว่าไม่เชื่อว่าจะมีการกู้เงินกันจริงเท่านั้น ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 แกล้งให้ตนเองเป็นลูกหนี้การกู้ยืมของจำเลยที่ 3 อันไม่เป็นความจริงด้วยการสมคบกันแต่อย่างใด ศาลฎีกาเห็นว่าตามข้อนำสืบของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 โดยรับโอนที่ดินโฉนดที่ 5262 ไว้เพื่อมิให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลแล้วได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 3 ฟังขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share