คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5626/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย อันเป็นการเถียงสิทธิครอบครอง เป็นคดีมีทุนทรัพย์ การพิจารณาว่าคดีจะต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่ ต้องถือตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง เมื่อที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีราคาไม่เกินสองแสนบาท คดีย่อมต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง โดยไม่มีข้อที่ต้องพิจารณาว่าที่ดินดังกล่าวอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 84 ตำบลแชแล อำเภอกุมภาปีจังหวัดอุดรธานี ระบุเนื้อที่ 26 ไร่ เนื้อที่จริงประมาณ 45 ไร่มีชื่อนางใส สุขวาปีเป็นผู้แจ้งการครอบครอง โจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงนี้ส่วนหนึ่ง โจทก์ทั้งสามได้แยกครอบครองเป็นสัดส่วนคนละประมาณ 9 ไร่ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ใช้หรือวานให้จำเลยที่ 3 รื้อถอนเสาไม้อันเป็นเสาปักเขตแดนที่ดินซึ่งโจทก์ทั้งสามได้ทำขึ้น แล้วจำเลยทั้งสี่เข้าครอบครองทำกินในที่ดินส่วนของโจทก์ที่ 2 ที่ 3 โจทก์ทั้งสามห้ามปราม จำเลยทั้งสี่ไม่เชื่อสำหรับที่ดินส่วนของโจทก์ที่ 1 นั้น จำเลยที่ 5 ได้เข้าครอบครองทำกินในเวลาไล่เลี่ยกันโจทก์ทั้งสามห้ามปรามจำเลยที่ 5 ไม่เชื่อการกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์ขอคิดค่าเสียหายเป็นราคาผลผลิตทางเกษตรที่ควรจะได้เป็นเงินคนละ 4,500 บาท ขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองเลขที่ 84 ตำบลแชแล อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี และตามแผนที่สังเขป ท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ตามลำดับ ห้ามจำเลยทั้งห้าเข้ายุ่งเกี่ยว ให้จำเลยที่ 5 ใช้ค่าเสียหาย 4,500 บาทแก่โจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2และที่ 3 เป็นเงินคนละ 4,500 บาท
จำเลยทั้งห้าให้การว่า โจทก์ทั้งสามมิได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท เพราะนางใสเจ้าของที่ดินทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้แก่นางมนมารดาของจำเลยที่ 2 ที่ 4 แล้ว และนางมนได้ครอบครองที่ดินแต่เพียงผู้เดียวมาตลอดจนกระทั่งเสียชีวิตจำเลยที่ 2 ที่ 4 จึงได้ครอบครองที่ดิน ต่อมาร่วมกับจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 5 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 และได้ครอบครองเป็นเวลานับ 10 ปีแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งห้าและค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องไม่เป็นความจริงขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า ที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 84 ตำบลแชแล อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานีส่วนที่ระบุว่าเป็นของโจทก์ทั้งสาม ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.2โจทก์ทั้งสามมีสิทธิครอบครองห้ามจำเลยทั้งห้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 ที่ 3 เป็นเงินคนละ4,500 บาท ให้จำเลยที่ 5 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน4,500 บาท
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยทั้งห้าฎีกาความว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งห้ามีน้ำหนักขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยไม่ใช่ของโจทก์ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง แต่เนื่องจากราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีเพียง13,500 บาท ซึ่งไม่เกิน 200,000 บาท ไม่ปรากฏว่าผู้พิพากษาได้นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นก็ดี ในศาลอุทธรณ์ก็ดีได้รับรองไว้หรือรับรองในเวลาตรวจฎีกาว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้นชอบแล้วแต่ส่วนที่กล่าวว่าที่ดินพิพาทเนื้อที่ 27 ไร่ ขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้เกินเดือนละ 10,000 บาท จึงไม่ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงนั้นเป็นการไม่ถูกต้องเพราะเมื่อเป็นคดีมีทุนทรัพย์แล้วข้อพิจารณาว่าคดีจะต้องห้ามฎีกาหรือไม่ ต้องถือตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง เมื่อทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทแล้วก็ไม่ต้องพิจารณาว่าจะอาจให้เช่าได้เกินเดือนละ 10,000 บาท หรือไม่ฎีกาของจำเลยทั้งห้าจึงไม่เข้ากรณีที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้รับฎีกาของจำเลยทั้งห้าจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งห้า

Share