คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5626/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจร่วมกับพวกอีกสองคน แต่งกายนอกเครื่องแบบไปตรวจค้นตัวผู้ตายและสิ่งของในเพิงที่พักพบกัญชาหนักประมาณ 200 กรัม จึงจับกุมผู้ตายใส่กุญแจมือไว้ทั้งสองข้าง และแจ้งข้อหา ผู้ตายจะสวมใส่เสื้อ จำเลยถอดกุญแจมือให้ผู้ตายข้างหนึ่ง ผู้ตายฉวยโอกาสนั้นกระโดดออกจากเพิงวิ่งหนีไปจำเลยวิ่งตามและใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทางด้านหลัง กระสุนปืนถูกผู้ตายที่แก้มก้นด้านซ้าย ตัดลำไส้ใหญ่ ตัดเส้นโลหิตแดงที่ไปเลี้ยงขาซ้ายขาด ทำให้โลหิตตกในเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเช่นนี้ แสดงว่า จำเลยยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่าผู้ตายในลักษณะที่ผู้ตายวิ่งหนีมือเปล่า และไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึง การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายสมพงษ์ จงจิตต์โดยเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้นายสมพงษ์ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ริบของกลางทั้งหมด เว้นแต่อาวุธปืนของทางราชการ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางวุ้น จงจิตต์ มารดาผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาตมาตรา ๒๘๘ จำคุก ๑๕ ปี ริบของกลางทั้งหมด เว้นแต่อาวุธปืนสั้นขนาด .๓๘ ของทางราชการ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าวันเกิดเหตุนายดาบตำรวจเสมอ เอี่ยมประชา จ่าสิบตำรวจจำรัสศรีขวัญชัย และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจแต่งกายนอกเครื่องแบบไปตรวจค้นตัวนายสมพงษ์ จงจิตต์ ผู้ตาย และสิ่งของในเพิงที่เกิดเหตุในซอยอินทามระ ๑๔ พบกัญชาหนักประมาณ ๒๐๐ กรัมถุงพลาสติกเล็กประมาณ ๑๐๐ ถุง และที่เย็บกระดาษ ๑ อัน อยู่ในกระเป๋าเสื้อผ้าที่ผู้ตายถือไว้จึงจับกุมผู้ตายใส่กุญแจมือไว้ทั้งสองข้าง แจ้งข้อหาว่ามียาเสพติดให้โทษประเภทกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ผู้ตายจะสวมใส่เสื้อ จำเลยถอดกุญแจมือให้ผู้ตายข้างหนึ่ง ผู้ตายฉวยโอกาสขณะนั้นกระโดดลงจากเพิงวิ่งหลบหนี จำเลยวิ่งไล่ตามและใช้อาวุธปืนยิงถูกผู้ตายถึงแก่ความตายตามรายงานการชันสูตรพลิกศพ เอกสารหมาย จ.๓ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยเจตนาหรือกระทำการป้องกันตัวในการปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อจำเลยไขกุญแจมือให้ผู้ตายสวมเสื้อ ผู้ตายฉวยโอกาสนั้นกระโดดออกมาจากเพิงวิ่งหนีลงไปในบึงระหว่างซอยอินทามระ ๑๔ กับซอยอินทามระ ๑๖จำเลยวิ่งตาม และใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้ตายทางด้านหลัง การที่จำเลยใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้ตายดังกล่าว อาวุธปืนเป็นอาวุธร้ายแรงสามารถทำอันตรายผู้ตายถึงแก่ชีวิต กระสุนปืนถูกผู้ตายที่แก้มก้นด้านซ้ายตัดลำไส้ใหญ่ตัดเส้นโลหิตแดงที่ไปเลี้ยงขาซ้ายขาดทำให้โลหิตตกในเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายซึ่งเป็นผลโดยตรงที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย เช่นนี้ แสดงว่า จำเลยยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่าผู้ตายในลักษณะที่ผู้ตายวิ่งหนีมือเปล่า และไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึงจึงไม่พอฟังว่าจำเลยต่อสู้ป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share