แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยไม่สามารถส่งมอบครุภัณฑ์ตามสัญญาซื้อขายให้แก่โจทก์ จึงได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญามายังโจทก์ โจทก์มีหนังสือตอบไปว่า(โจทก์เท่านั้นที่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา)หากโจทก์จะบอกเลิกสัญญาโจทก์ขอสงวนสิทธิที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขแห่งสัญญา จำเลยมีหนังสือตอบโจทก์ว่ายินดีให้โจทก์ดำเนินการตามเงื่อนไขแห่งสัญญาโจทก์จึงได้มีหนังสือตามเอกสารหมาย จ.36 มายังจำเลยว่าโจทก์จะดำเนินการตามเงื่อนไขแห่งสัญญาต่อไป หนังสือตามเอกสารหมาย จ.36 มิใช่หนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย ต่อมาเมื่อโจทก์เรียกประกวดราคาใหม่แล้วจึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย ดังนี้ ต้องถือเอาวันบอกเลิกสัญญาตามที่ปรากฏในหนังสือบอกเลิกสัญญาฉบับหลัง
โจทก์อ้างสำเนาภาพถ่ายเอกสารซึ่งต้นฉบับอยู่ในความครอบครองของทางราชการ โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับห้าของทางราชการดังกล่าวรับรองความถูกต้องแห่งสำเนาภาพถ่ายเอกสารนั้น สำเนาภาพถ่ายเอกสารนั้นรับฟังเป็นพยานหลักฐานแทนต้นฉบับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(3)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ยี่ห้อไวค์แฮมฟาร์แรนซ์กับโจทก์ ๕ รายการ มีข้อสัญญาว่าถ้าไม่ส่งมอบสิ่งของที่ขายผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาริบหลักประกันได้ และถ้าผู้ซื้อจัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นภายในกำหนด๓ เดือนนับแต่วันบอกเลิกสัญญา ผู้ขายต้องรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้น ต่อมาจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาไม่ส่งมอบครุภัณฑ์ตามสัญญา โจทก์จึงได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ ๑ และจัดซื้อครุภัณฑ์ดังกล่าวจากผู้อื่นสูงกว่าที่ตกลงซื้อจากจำเลยที่ ๑ ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินตามราคาที่สูงขึ้นแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดีหลายประการและว่าโจทก์มิได้ประกาศเรียกประกวดราคาจัดซื้อครุภัณฑ์ภายในกำหนด ๓ เดือน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินตามฟ้องแก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งห้าฎีกาว่าโจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญามายังจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๒๑ ตามเอกสารหมาย จ.๓๖ จึงถือว่าสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เลิกแล้วต่อกันในวันนั้น ศาลฎีกาได้ตรวจพิจารณาข้อความในเอกสารหมาย จ.๓๖ โดยตลอดแล้วเห็นว่า เป็นเรื่องสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ ๑ ไม่สามารถส่งมอบครุภัณฑ์ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.๒๒ ถึง จ.๒๖ ให้แก่โจทก์ได้ จำเลยที่ ๑ จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญามายังโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๒๙ ถึง จ.๓๓ โจทก์มีหนังสือตอบมาถึงจำเลยที่ ๑ ว่าการบอกเลิกสัญญาเป็นสิทธิของผู้ซื้อฝ่ายเดียว หากโจทก์จะบอกเลิกสัญญาดังกล่าว โจทก์ขอสงวนสิทธิที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขแห่งสัญญาข้อ ๘ ฯลฯ ตามเอกสารหมาย จ.๓๔ เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือดังกล่าวของโจทก์แล้ว จึงได้มีหนังสือตอบมายังโจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ ยินดีจะให้โจทก์ดำเนินการตามเงื่อนไขแห่งสัญญาข้อ ๘ และให้โจทก์แจ้งผลการพิจารณาให้จำเลยที่ ๑ ทราบด้วย ตามเอกสารหมาย จ.๓๕ โจทก์จึงได้มีหนังสือเอกสารหมาย จ.๓๖ มายังจำเลยที่ ๑แจ้งให้ทราบว่าโจทก์จะดำเนินการตามเงื่อนไขแห่งสัญญาต่อไป ซึ่งหมายความว่าโจทก์จะได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ ๑ ต่อไป เพื่อจะใช้สิทธิตามเงื่อนไขในสัญญาข้อ ๘ กล่าวคือริบหลักประกัน หรือเรียกร้องจากธนาคารตามหนังสือรับรองข้อ ๗ แล้วแต่โจทก์จะเห็นสมควร และถ้าโจทก์จัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นภายในกำหนด ๓ เดือนนับแต่วันบอกเลิกสัญญา จำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นดังนี้เห็นว่าหนังสือตามเอกสารหมาย จ.๓๖ ที่โจทก์มีไปยังจำเลยที่ ๑ นั้น มิใช่หนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ ๑ แล้วตั้งแต่วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๒๑ ดังที่จำเลยที่ ๑ กล่าวอ้าง นอกจากนี้ยังปรากฏจากบันทึกข้อความของส่วนราชการของโจทก์ ที่ ค๗๐๗/๒๑ ลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๒๑ ตามเอกสารหมาย จ.๓๗ มีใจความว่า “ฯลฯ เนื่องจากห้างฯ (จำเลยที่ ๑) ไม่อาจปฏิบัติตามสัญญา และใคร่ขอยกเลิกสัญญาซื้อขายทั้งห้ารายการจึงเห็นสมควรให้ดำเนินการประกวดราคาจัดซื้อ เพื่อหาผู้ขายรายต่อไปเสียก่อนที่จะบอกเลิกสัญญา ทั้งนี้เพื่อจะได้ดำเนินการตามเงื่อนไขข้อ ๘ แห่งสัญญากับห้างฯ (จำเลยที่ ๑) ต่อไป ฯลฯ” จากบันทึกข้อความดังกล่าวนี้แสดงว่าในวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๒๑ โจทก์ยังมิได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด โจทก์เพิ่งมีหนังสือบอกเลิกสัญญาซื้อขายครุภัณฑ์เอกสารหมาย จ.๒๓ ถึง จ.๒๖ แก่จำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๒ ปรากฏตามหนังสือบอกเลิกสัญญาเอกสารหมาย จ.๕๗ จ.๖๗ จ.๗๕ จ.๘๑ และมีหนังสือบอกเลิกสัญญาซื้อขายครุภัณฑ์เอกสารหมาย จ.๒๒ แก่จำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๓๐มีนาคม ๒๕๒๒ ปรากฏตามหนังสือบอกเลิกสัญญาเอกสารหมาย จ.๔๘ แล้วโจทก์มาทำสัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ตามฟ้องทั้งห้ารายการกับบริษัทรีเสิร์ชอิควิปเม้นต์ จำกัดเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๒๒ ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.๕๐ จ.๘๙ ถึง จ.๙๒ยังไม่พ้นกำหนด ๓ เดือนนับแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๒ และวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๒๒ อันเป็นวันบอกเลิกสัญญา ฉะนั้นจำเลยที่ ๑ ย่อมต้องรับผิดชดใช้ราคาครุภัณฑ์ส่วนที่เพิ่มขึ้นจากที่ทำสัญญาไว้กับโจทก์ ตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาข้อ ๘ จำเลยที่ ๒ ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ผู้เป็นหุ้นส่วน จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ด้วยตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๒๕
ส่วนปัญหาข้อสุดท้ายที่ว่า การที่โจทก์ส่งแต่สำเนาเอกสารเป็นพยานจะรับฟังได้หรือไม่นั้น ปรากฏว่าเอกสารที่โจทก์อ้างส่งเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ เป็นสำเนาภาพถ่ายของเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นกรมในรัฐบาล จึงถือว่าเป็นสำเนาเอกสารที่ต้นฉบับเอกสารอยู่ในความอารักขาหรือในความควบคุมของทางราชการ และนายภิญญู ดำพิทักษ์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับห้าของวิทยาลัยแห่งนี้ได้รับรองความถูกต้องของสำเนาเอกสารเหล่านี้แล้ว ดังนั้น สำเนาภาพถ่ายเอกสารที่โจทก์อ้างส่งศาลดังกล่าวจึงถือว่าเป็นอันเพียงพอในการที่จะนำมาแสดงต่อศาลได้ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๓(๓) ศาลย่อมรับฟังสำเนาภาพถ่ายแทนต้นฉบับเอกสารได้
พิพากษายืน