คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5615/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีกำหนดระยะเวลา 12 เดือน แต่คู่กรณีมีการเดินสะพัดทางบัญชีครั้งสุดท้ายก่อนครบกำหนดดังกล่าว หลังจากนั้น มีแต่การคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนตลอดมา ทั้งยอดหนี้ในวันครบกำหนดสัญญาก็มีจำนวนสูงกว่าที่ตกลงไว้ในสัญญาประกอบกับหลังจากสัญญาครบกำหนดแล้วไม่ปรากฏว่ามีการเดินสะพัดทางบัญชีกันอีก แสดงว่า คู่กรณีทั้งสองฝ่ายให้ถือว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลงในวันครบกำหนดตามสัญญาแม้จะมีข้อตกลงกันว่า เมื่อครบกำหนด 12 เดือน ไม่มีการต่ออายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นหลักฐานหนังสือกำหนดเวลากันใหม่คู่กรณีตกลงกันให้มีการเบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาต่อไปอีกคราวละ6 เดือน ตลอดไป ก็หาทำให้สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีซึ่งสิ้นสุดไปแล้วกลับมีผลเป็นการต่ออายุสัญญาไม่ โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้จนถึงวันครบกำหนดตามสัญญาเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2527 จำเลยที่ 1ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน 1,000,000 บาทจากบัญชีกระแสรายวันซึ่งจำเลยเบิด*บัญชีไว้กับโจทก์ มีกำหนดเวลา12 เดือน ดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 19 ต่อปี จำเลยที่ 2 และที่ 3ได้ทำสัญญาค้ำประกันและจำเลยที่ 2 ได้นำที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจำนองเป็นประกันด้วย จำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินเกินบัญชีและนำเงินเข้าบัญชีหักทอนบัญชีในบัญชีเดินสะพัดตลอดมา ครั้งสุดท้ายจำเลยที่ 1ได้นำเช็คเข้าบัญชีเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2528 จำเลยที่ 1คงเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นเงิน 1,270,361.01 บาท ต่อมาโจทก์ได้ลดอัตราดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 15 ต่อปี ตั้งแต่วันที่5 มีนาคม 2529 จำเลยที่ 1 ขาดการติดต่อ โจทก์จึงให้ทนายความมีหนังสือลงวันที่ 8 กันยายน 2530 บอกเลิกสัญญา ให้ชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยทั้งสามให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน จำเลยทั้งสามก็ไม่ชำระ โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีไม่ทบต้นจากต้นเงิน2,431,737.25 บาท นับจากวันที่ 26 พฤศจิกายน 2530 ถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 56,962.62 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,488,699.87 บาทขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 2,488,699.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 2,431,737.25 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ถ้าจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ให้บังคับเอาจากทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยจนครบถ้วน
จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน1,493,434.41 บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2529 จนถึงวันที่ 17 มิถุนายน 2529 ต่อจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวโดยไม่ทบต้นจนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,367,725.78 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีโดยวิธีทบต้นตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2528 ถึงวันที่ 17 ธันวาคม2528 ต่อจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยธรรมดาอัตราร้อยละ 19 ต่อปีไม่ทบต้นจนถึงวันที่ 1 มกราคม 2529 และอัตราร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันที่2 มกราคม 2529 จนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 และอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีตามฟ้องสิ้นสุดลงเมื่อใดและโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ถึงเมื่อใด เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์เป็นข้อตกลงที่จะให้มีบัญชีเดินสะพัดต่อกันมีกำหนด 12 เดือนนับแต่วันที่17 ธันวาคม 2527 ครบกำหนดวันที่ 17 ธันวาคม 2528 แต่ก่อนครบกำหนดสัญญาคือหลังจากวันที่ 19 กรกฎาคม 2528 เป็นต้นไป ก็ไม่มีการเดินสะพัดทางบัญชีกระแสรายวันอีกต่อไป คงมีแต่รายการคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนตลอดมา ทั้งยอดหนี้ในวันครบกำหนดสัญญาก็มีจำนวนสูงกว่าที่ตกลงไว้ในสัญญาประกอบกับหลังจากสัญญาครบกำหนดแล้วไม่ปรากฏว่ามีการเดินสะพัดทางบัญชีอันแสดงว่าโจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1เบิกเงินเกินบัญชีต่อไปอีก ส่วนจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่นำเงินส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือหลังจากหักทอนบัญชีแล้วมาชำระแก่โจทก์พฤติการณ์แสดงว่าคู่กรณีทั้งสองฝ่ายให้ถือว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นอันสิ้นสุดลงในวันที่ 17 ธันวาคม 2528 อันเป็นวันครบกำหนดตามสัญญาแล้ว เช่นนี้แม้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจะระบุว่า เมื่อครบกำหนด 12 เดือนแล้ว ไม่มีการต่ออายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นหลักฐานหนังสือกำหนดเวลากันใหม่ คู่กรณีตกลงกันให้มีการเบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาต่อไปอีกคราวละ 6 เดือนตลอดไปก็ตาม ข้อสัญญาดังกล่าวมุ่งหมายในกรณีที่ยังมีการเดินสะพัดทางบัญชีเท่านั้นจึงหาทำให้สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีซึ่งสิ้นสุดลงแล้วกลับมีผลเป็นการต่ออายุสัญญาไม่ ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้จนถึงวันที่ 17 ธันวาคม 2528 อันเป็นวันครบกำหนดตามสัญญาเท่านั้นหลังจากนั้นโจทก์หามีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นโดยอาศัยข้อตกลงตามสัญญาอีกต่อไปไม่
พิพากษายืน

Share