คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5610/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ในการปฏิบัติตามสัญญาก่อสร้างอาคารไว้ต่อโจทก์ มีใจความว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติ ตามสัญญาซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ได้แล้ว จำเลยที่ 2 ยอมชำระเงินแทนให้ทันทีโดยไม่ต้องเรียกร้องให้ จำเลยที่ 1 ชำระก่อน จำเลยที่ 2 ยอมรับรู้และยินยอมด้วยในกรณีที่ โจทก์ได้ยินยอมให้ผัดหรือผ่อนเวลาหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญา ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยเพียงแต่โจทก์ติดต่อแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบโดยไม่ชักช้าเท่านั้น ข้อความดังกล่าวมีความหมายชัดเจนว่าจำเลยที่ 2 ยอมให้โจทก์ผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาให้แก่จำเลยที่ 1 โดยไม่ถือเป็น สาระสำคัญในการค้ำประกัน ขอแต่เพียงแจ้งการผ่อนผันให้จำเลยที่ 2 ทราบโดยไม่ชักช้าเท่านั้น ต่อมาโจทก์ได้ขยายระยะเวลาก่อสร้างให้ จำเลยที่ 1ออกไป โดยได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบแล้ว ดังนั้นเมื่อ จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาและไม่ยอมชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดชำระเงินตามสัญญาให้แก่โจทก์ทันที โดยโจทก์ ไม่ต้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ ๑ ให้ก่อสร้างอาคารของโจทก์ ๑ หลัง โดยแบ่งการชำระเงินเป็นงวด ๆ หากจำเลยที่ ๑ ทำงานไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาหรือล่วงเลยเวลาไป โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและปรับจำเลยที่ ๑ ได้ กับต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ จำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยที่ ๑ ยอมผูกพันตนในวงเงิน ๑,๔๗๐,๐๐๐ บาท และยอมชำระเงินแทนให้ทันทีในเมื่อโจทก์เรียกร้องให้รับผิด หลังจากทำสัญญาว่าจ้างกันแล้วโจทก์จำเลยที่ ๑ ได้ตกลงทำสัญญาจ้างเพิ่มเติมให้ยืดเวลาการก่อสร้างต่อไปอีกแต่จำเลยที่ ๑ ทำงานไม่เสร็จภายในกำหนดทั้งได้ทิ้งงานไป โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ ๑ แล้วทวงถามให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินค่าปรับและค่าเสียหายตามสัญญาแก่โจทก์ กับทวงถามให้จำเลยที่ ๒ รับผิดตามสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ ๒ เพิกเฉยขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ ทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญาเพราะคณะกรรมการตรวจการจ้างและผู้ควบคุมงานของโจทก์สมคบกันกลั่นแกล้งให้จำเลยทดสอบพื้นอาคารว่าจะรับน้ำหนักได้ตามคำนวณหรือไม่ จำเลยต้องรอผลการทดสอบเป็นเวลาเกือบ ๑ ปี ระหว่างนั้นจะก่อสร้างต่อก็ทำไม่ได้เมื่อโจทก์แจ้งผลการทดสอบให้จำเลยที่ ๑ ทราบ ก็เหลือเวลาให้จำเลยที่ ๑ ก่อสร้างเพียง๔๐ วัน จำเลยที่ ๑ ขอต่อสัญญาโจทก์ก็ต่อให้เพียง ๗๓ วัน และแจ้งให้จำเลยที่ ๑ทราบเมื่อเลยกำหนดเวลาที่อนุมัติให้ต่อแล้ว โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตกลงแก้ไขข้อความอันเป็นสาระสำคัญด้วยการผ่อนเวลาให้จำเลยที่ ๑ โดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่ ๒ ทราบ และจำเลยที่ ๒ มิได้ตกลงด้วย จำเลยที่ ๒ จึงหลุดพ้นจากความรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินให้โจทก์ ๒,๖๔๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดในต้นเงินจำนวน ๑,๔๗๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยที่ ๒ จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.๒ หรือไม่นั้น เห็นว่าตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.๒ ที่จำเลยที่ ๒ ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ในการปฏิบัติตามสัญญาก่อสร้างอาคารกรมควบคุมโรคติดต่อ จำนวน ๑ หลัง ตามแบบเลขที่ ๒๗๑๓ ไว้ต่อกรมควบคุมโรคติดต่อ (โจทก์) มีข้อความว่า “ข้อ ๑. ฯลฯ ข้าพเจ้า (จำเลยที่ ๒) ยอมผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันบริษัทจันทนิมิตก่อสร้าง จำกัด (จำเลยที่ ๑) ต่อ กรมควบคุมโรคติดต่อ (โจทก์) เป็นเงินไม่เกิน ๑,๔๗๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งล้านสี่แสนเจ็ดหมื่นบาทถ้วน)กล่าวคือ หากบริษัทจันทนิมิตก่อสร้าง จำกัด ไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้กับกรมควบคุมโรคติดต่อ หรือปฏิบัติผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งของสัญญาดังกล่าวซึ่งกรมควบคุมโรคติดต่อมีสิทธิเรียกค่าปรับ และหรือค่าเสียหายใด ๆ จากบริษัทจันทนิมิตก่อสร้าง จำกัด ได้แล้ว ข้าพเจ้า (จำเลยที่ ๒) ยอมชำระเงินแทนให้ทันทีโดยมิต้องเรียกร้องให้บริษัทจันทนิมิตก่อสร้าง จำกัด ชำระก่อน ข้อ ๒. ข้าพเจ้า (จำเลยที่ ๒) ยอมรับรู้และยินยอมด้วยในกรณีที่กรมควบคุมโรคติดต่อได้ยินยอมให้ผัดหรือผ่อนเวลา หรือผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาให้แก่บริษัทจันทนิมิตก่อสร้าง จำกัด โดยเพียงแต่กรมควบคุมโรคติดต่อแจ้งให้ข้าพเจ้า (จำเลยที่ ๒) ทราบโดยไม่ชักช้าเท่านั้น ซึ่งข้อความดังกล่าวมีความหมายชัดเจนอยู่แล้วว่า จำเลยที่ ๒ ยอมให้กรมควบคุมโรคติดต่อ (โจทก์) ผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาให้แก่บริษัทจันทนิมิตก่อสร้าง จำกัด (จำเลยที่ ๑) โดยไม่ถือเป็นสาระสำคัญในการค้ำประกัน ขอแต่เพียงแจ้งการผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาให้จำเลยที่ ๒ ทราบโดยไม่ชักช้าเท่านั้น และการที่โจทก์ได้ผ่อนผันหรือขยายระยะเวลาการก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๑ ออกไปนั้น จำเลยที่ ๒ ย่อมทราบอยู่เองว่าจำเลยที่ ๑ ขอขยายระยะเวลาค้ำประกันออกไปเพื่อให้โจทก์ผ่อนผันกำหนดเวลาปฏิบัติตามสัญญาให้แก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งโจทก์ก็ได้แจ้งให้จำเลยที่ ๒ ทราบเกี่ยวกับเรื่องที่โจทก์ต่ออายุสัญญาจ้างให้แก่จำเลยที่ ๑ ตามเอกสารหมาย จ.๖๖ แล้ว ฉะนั้น เมื่อจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาและไม่ยอมชำระค่าเสียหายแก่กรมควบคุมโรคติดต่อตามที่จำเลยที่ ๒ ค้ำประกันไว้ จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดชำระเงินจำนวน๑,๔๗๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ทันทีโดยโจทก์มิต้องเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ชำระก่อนตามที่จำเลยที่ ๒ ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.๒ ไว้แก่โจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีจำเลยที่ ๒ ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ ๑ ไม่ยื่นคำแก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความให้และให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ฎีกาแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่จำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดต่อโจทก์

Share