คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5608/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกซึ่งเป็นรถกระบะบรรทุกไม่ประจำทาง บรรทุกไม้แปรรูปอันเป็นการขนส่งของจำเลยที่ 3 ผู้เช่าซื้อรถจึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รถดังกล่าวและจำเลยที่ 2 เป็นผู้ประกอบการขนส่งอันเป็นการร่วมกิจการกับจำเลยที่ 3 ถือได้ว่าจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 3 ด้วย
ค่ารักษาพยาบาลอันเป็นค่าเสียหายฐานละเมิดนั้นแม้ทางราชการจะจ่ายแทนโจทก์ไปแล้วก็ตาม แต่ไม่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยโจทก์จึงยังมีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยผู้ต้องรับผิดฐานละเมิดได้ และปัญหาว่าโจทก์เสียหายเพราะการกระทำละเมิดเพียงใดแม้ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัย เมื่อโจทก์จำเลยต่างนำสืบประเด็นข้อนี้ไว้แล้ว ก็ไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องอย่างคนอนาถาว่าจำเลยที่ ๑ ได้ขับขี่รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน พบ ๗๐ – ๐๐๘๖ ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ด้วยความประมาท ทำให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยไม่ใช่เจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์และไม่ใช่นายจ้างจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ มิได้ขับขี่รถด้วยความประมาท เหตุเกิดเพราะความประมาทของโจทก์ จำเลยทั้งสี่จึงไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน ๘๒,๗๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๒๓ จนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยขับขี่รถโดยประมาทกระทำละเมิดต่อโจทก์แล้ววินิจฉัยว่า ส่วนปัญหาว่าโจทก์เสียหายเพียงใดนั้น ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ แต่เมื่อโจทก์จำเลยต่างนำสืบประเด็นข้อนี้ไว้แล้วก็ไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอีก ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวไปทีเดียว โจทก์ฎีกาว่าค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลสงขลาเป็นเงิน ๙,๗๐๐ บาท มีแพทย์หญิงสายทอง มโนมัยอุดม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลาพยานโจทก์เบิกความว่า โจทก์เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสงขลาเนื่องจากอุบัติเหตุตั้งแต่วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๒๓ ถึงวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ รวมค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน ๙,๗๘๐ บาท ได้เบิกเงินจากทางราชการแล้ว โดยโจทก์ไม่ต้องจ่ายเงิน ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ค่ารักษาพยาบาลอันเป็นค่าเสียหายฐานละเมิดนั้น แม้ทางราชการจะจ่ายแทนโจทก์ไปแล้ว แต่ไม่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยโจทก์จึงยังมีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยผู้ต้องรับผิดฐานละเมิดได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๔๕๕/๒๕๑๙ ระหว่างจ่าสิบเอกประสิทธิ์ กสิศิลป์ โจทก์ บริษัทศิริมิตร จำกัด กับพวก จำเลย จึงกำหนดค่ารักษาพยาบาลให้โจทก์เป็นเงิน ๙,๗๐๐ บาท ตามที่ขอมาในฎีกา ส่วนค่าพยาบาลเฝ้าไข้ ๖,๐๐๐ บาท นั้นเห็นว่าค่าจ้างพยาบาลเฝ้าไข้ดังกล่าวเป็นรายจ่ายที่จำเป็นและมีจำนวนไม่เกินสมควร โจทก์จึงเรียกร้องเอาจากจำเลยได้ จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้ให้แก่โจทก์ ส่วนค่าทำศัลยกรรมตกแต่งกะโหลกศีรษะเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทนั้น สมควรกำหนดให้โจทก์เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ที่โจทก์เรียกร้องค่าหลอดเสียงเสียหายเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทนั้น เห็นว่า พยานโจทก์ยังไม่ชัดแจ้งว่า หลอดเสียงของโจทก์เสียจนถึงขนาดจะต้องได้รับการผ่าตัดจากนายแพทย์ จึงไม่คิดค่าเสียหายส่วนนี้ให้โจทก์ ส่วนที่โจทก์เรียกร้องค่าสมองและสติปัญญาเสื่อมถอย กับค่าขาดบุคคลิกภาพในร่างกายและขาดความก้าวหน้าในราชการเป็นเงิน ๑๑๔,๒๒๐ บาทนั้น ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่า สมองและสติปัญญาโจทก์เสื่อมถอยลง โจทก์จึงควรได้รับค่าเสียหายส่วนนี้โดยคิดรวมไปกับค่าเสียหายที่โจทก์สูญเสีย ความสามารถและประกอบการงานในภายหน้า ค่าเสียหายสองรายการนี้สมควรรวมกำหนดให้โจทก์เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท รวมค่าเสียหายของโจทก์เป็นเงิน ๑๓๕,๗๐๐ บาท
ที่จำเลยที่ ๓ แก้ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยทั้งสี่นั้น ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ประกอบหนังสือของขนส่งจังหวัดเพชรบุรี ที่ พบ.๑๐/ท ๐๕๒๒ ลงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๒๔ เอกสารหมาย จ.๑ ว่า รถบรรทุกคันหมายเลขทะเบียน พบ ๗๐-๐๐๘๖ เป็นรถกระบะบรรทุกไม่ประจำทาง ผู้ประกอบการขนส่งชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดจงสงวนขนส่ง (จำเลยที่ ๒) นายสมปอง รักดี (จำเลยที่ ๓) เป็นผู้เช่าซื้อ และห้างหุ้นส่วนจำกัดชัยรัชการ (ก๋วยหมงกี่) (จำเลยที่ ๔) เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งจำเลยที่ ๓ แถลงรับว่าขนส่งจังหวัดเพชรบุรีได้ทำเอกสารหมาย จ.๑ ไว้จริง จำเลยที่ ๑ ขับรถบรรทุกคันดังกล่าวบรรทุกไม้แปรรูปเต็มคันรถในคืนเกิดเหตุออกจากถนนสายสงขลา – นาทวี จะไปยังอำเภอหาดใหญ่อันเป็นการขนส่งของจำเลยที่ ๓ จึงเชื่อได้ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๔ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รถคันดังกล่าวและจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ประกอบการขนส่งอันเป็นการร่วมกิจการกับจำเลยที่ ๓ ย่อมถือได้ว่า จำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๒ เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๓ ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน ๑๓๕,๗๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๒๓ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๑๐,๐๐๐ บาท สำหรับค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมศาลที่โจทก์ได้รับยกเว้นให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถานั้น ให้จำเลยทั้งสี่ชำระต่อศาลในนามของโจทก์

Share