คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 560/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การกำหนดอัตราดอกเบี้ยของโจทก์นั้น มีประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง การกำหนดสถาบันการเงินและอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินอาจคิดได้จากผู้กู้ยืม (ฉบับที่ 5) ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2535 ข้อ 2 และข้อ 3กำหนดไว้เป็นการเฉพาะให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมได้ไม่เกินร้อยละ 19 ต่อปี ประกาศดังกล่าวออกโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามที่พระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินฯ มาตรา 3(4)และมาตรา 4 ให้อำนาจไว้ดังนี้ การที่จำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่โจทก์คิดจากจำเลยจึงหาได้เปลี่ยนแปลงโดยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยแต่ประการใดไม่การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้อง ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี แต่มิให้เกินอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดจึงเป็นการไม่ชอบ ชอบที่จะพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2538 จำเลยทำสัญญากู้เงินจากโจทก์จำนวน 84,000 บาท ยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ19 ต่อปี โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก) เลขที่ 19 ตำบลคลองทราย อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลาพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันการชำระหนี้ จำเลยไม่ชำระหนี้ตามสัญญาโจทก์มีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 73,143.42 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ19 ต่อปี ของต้นเงิน 68,075.68 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 73,143.42 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี แต่มิให้เกินอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดในต้นเงิน 68,075.68 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 21 กรกฎาคม 2542) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 519 ตำบลคลองทราย อำเภอนาทวีจังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ19 ต่อปี แต่มิให้เกินอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การกำหนดอัตราดอกเบี้ยของโจทก์นั้นมีประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดสถาบันการเงินและอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินอาจคิดได้จากผู้กู้ยืม (ฉบับที่ 5) ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2535ข้อ 2 และข้อ 3 กำหนดไว้เป็นการเฉพาะ ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมได้ไม่เกินร้อยละ 19 ต่อปี ประกาศดังกล่าวออกโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามที่พระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523มาตรา 3(4) และมาตรา 4 ให้อำนาจไว้ อัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่โจทก์คิดจากจำเลย จึงหาได้เปลี่ยนแปลงโดยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแต่ประการใดไม่ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี แต่มิให้เกินอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดจึงเป็นการไม่ชอบ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share