คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5590/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ลูกหนี้จะมีหน้าที่เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินเป็นรายปีก็ตาม แต่จะต้องเสียเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประเมินภาษีและแจ้งรายการประเมินให้ลูกหนี้ทราบแล้วตามความในภาค 3เรื่องวิธีดำเนินการประเมินและจัดเก็บภาษีแห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 ซึ่งผู้รับการประเมินจะต้องเสียภาษีในกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการประเมินตามมาตรา 38ฉะนั้นเมื่อเจ้าหนี้ยังมิได้ประเมินภาษีและแจ้งให้ลูกหนี้ทราบจำนวนภาษีที่จะต้องเสีย ลูกหนี้ก็ยังไม่ต้องชำระหนี้ภาษีดังกล่าวเจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้ภาษีนั้น พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 43บัญญัติทางแก้สำหรับกรณีลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระเงินค่าภาษีที่ค้างชำระไว้โดยเฉพาะแล้วว่า ผู้ค้างชำระจะต้องเสียเงินเพิ่มคิดเป็นร้อยละตามจำนวนค่าภาษีที่ค้างและมีอัตราเงินเพิ่มสูงขึ้นตามเวลาที่ค้างชำระ จึงคิดดอกเบี้ยซ้อนเข้าไปอีกในระหว่างผิดนัดไม่ได้.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากกรุงเทพมหานคร เจ้าหนี้รายที่ 4 ยื่นคำขอรับชำระหนี้ค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินจำนวน 73,183 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสอง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114 แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วเห็นว่า เห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เป็นเงิน 12,804 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่1 ตามมาตรา 130(8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ส่วนที่ขอเกินมาให้ยก
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จำนวน 12,804 บาทจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 1 ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
เจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยข้อแรกว่าเจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินของลูกหนี้ที่ 1 ประจำปี 2527 ถึง 2530 หรือไม่ เจ้าหนี้ฎีกาว่า บุคคลผู้พึงชำระค่าภาษี มีหน้าที่เสียภาษีปีละครั้งต่อเนื่องกันไปตามค่ารายปีของทรัพย์สิน โดยมูลหนี้ค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินเกิดขึ้นเมื่อมีการใช้ประโยชน์จากตัวโรงเรือนและที่ดิน จึงเป็นหน้าที่ของลูกหนี้ที่ 1ซึ่งใช้ประโยชน์จากโรงเรือนและที่ดินตลอดปี 2527-2530 ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินตามปีดังกล่าว เห็นว่า แม้ลูกหนี้จะมีหน้าที่เสียภาษีเป็นรายปีก็ตาม แต่ก็ต้องเสียเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประเมินภาษีและแจ้งรายการประเมินให้ลูกหนี้ทราบแล้วตามความในภาค 3เรื่องวิธีดำเนินการประเมินและจัดเก็บภาษีแห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 ซึ่งผู้รับการประเมินจะต้องเสียภาษีในกำหนดเก้าสิบวัน นับแต่วันได้รับแจ้งการประเมินตามนัยมาตรา 38แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ฉะนั้นเมื่อเจ้าหนี้ยังมิได้ประเมินภาษีและแจ้งให้ลูกหนี้ที่ 1 ทราบจำนวนภาษีที่จะต้องเสีย ลูกหนี้ที่ 1ก็ยังไม่ต้องชำระหนี้ภาษีดังกล่าว เจ้าหนี้ยังไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ที่ 1 ชำระภาษีระหว่างปี 2527-2530 จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในส่วนนี้ตามที่ขอรับชำระหนี้มา
ประเด็นต่อไปมีว่า เจ้าหนี้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากเงินค่าภาษีค้างชำระและเงินเพิ่มในปี 2526 หรือไม่ ข้อนี้เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 บัญญัติเกี่ยวกับเงินค่าภาษีค้างชำระไว้ในมาตรา 43 ว่าผู้ค้างชำระจะต้องเสียเงินเพิ่มคิดเป็นร้อยละตามจำนวนค่าภาษีที่ค้างและมีอัตราเงินเพิ่มสูงขึ้นตามเวลาที่ค้างชำระ แสดงว่ากฎหมายได้บัญญัติทางแก้สำหรับกรณีลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระเงินค่าภาษีที่ค้างชำระไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงคิดดอกเบี้ยซ้อนเข้าไปอีกในระหว่างผิดนัดไม่ได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะได้รับดอกเบี้ยจากค่าภาษีค้างชำระและเงินเพิ่มอีก ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาของเจ้าหนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share