แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่คณะรัฐมนตรีลงมติตั้งองค์การสรรพาหารขึ้น เพื่อดำเนินการลดค่าครองชีพของประชาชนนั้นย่อมเป็นการดำเนินการลดค่าครองชีพของประชาชน ให้ประชาชนได้มีอาหารครองชีพถูก จึงอยู่ภายในวัตถุที่ประสงค์ของการบริหารแผ่นดินคณะรัฐมนตรีจึงมีอำนาจจัดตั้งองค์การนี้ขึ้นได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พ.ศ.2484-2495มาตรา 5 มีว่า สำนักนายกรัฐมนตรีมีอำนาจและหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปของคณะรัฐมนตรี และราชการอื่นๆ ซึ่งมิได้อยู่ภายในวงอำนาจและหน้าที่ของกระทรวงหนึ่งกระทรวงใดโดยเฉพาะ ฉะนั้นการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้องค์การสรรพาหารอยู่ในสำนักนายกรัฐมนตรี จึงชอบแล้วเพราะวัตถุประสงค์ขององค์การสรรพาหาร เป็นราชการทั่วไปของคณะรัฐมนตรี ทั้งเป็นราชการอื่นซึ่งมิได้อยู่ภายในวงอำนาจและหน้าที่ของกระทรวงหนึ่งกระทรวงใดโดยเฉพาะ
องค์การสรรพาหารมิใช่กระทรวง ทบวงหรือกรม การตั้งจึงไม่ต้องตราเป็นพระราชบัญญัติและไม่ตั้งขึ้นเป็นการแบ่งส่วนราชการในสำนักนายกรัฐมนตรี แต่เป็นงานที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้สำนักนายกรัฐมนตรี ดำเนินการงานเท่านั้นจึงไม่ต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
อนึ่งแม้พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พ.ศ.2484มาตรา 6 จะแยกราชการในสำนักนายกรัฐมนตรีไว้ ไม่มีกล่าวถึงองค์การสรรพาหารแต่เมื่อกิจการขององค์การสรรพาหารอยู่ในวัตถุประสงค์ของสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว เมื่อไม่อาจขึ้นอยู่ในกรมใดในสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ยังอาจขึ้นอยู่ในกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้เพราะกรมเลขาธิการเป็นกรมที่ทำหน้าที่สำนักงานปลัดกระทรวงจึงมีหน้าที่เกี่ยวกับราชการของสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมิได้แยกไปให้เป็นหน้าที่ของกรมหนึ่งกรมใดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2476มาตรา 11 ดังที่แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ พ.ศ.2477มาตรา 4
ย่อยาว
สำนักนายกรัฐมนตรีเป็นโจทก์ ฟ้องว่าคณะรัฐมนตรีได้ลงมติจัดตั้งองค์การสรรพาหารเพื่อดำเนินการลดค่าครองชีพของประชาชนอยู่ในความควบคุมดูแลรับผิดชอบของโจทก์ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2489 จำเลยได้ทำหนังสือสัญญายืมเงินซึ่งใช้ในราชการขององค์การสรรพาหารจำนวน 50,000 บาท ว่าจะเอาไปทดรองจ่ายในการซื้อหมูโค และเครื่องบริโภคอื่น ๆ ส่งองค์การ จำเลยได้รับเงินไปครบถ้วนแล้ว นำสุกรและโคมาขายแก่องค์การ2 ครั้ง เงิน 20,941 บาท 80 สตางค์ แล้วนำชำระคืนหักกับหนี้เดิม จึงยังคงเหลือเงินที่จำเลยจะต้องชำระอีก 29,058 บาท 20 สตางค์ จำเลยยังไม่ชำระ จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะองค์การสรรพาหารไม่ใช่ส่วนราชการสังกัดของโจทก์และว่าจำเลยเป็นตัวแทนขององค์การสรรพาหาร
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 29,058 บาท 20 สตางค์แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษาคดีแล้ว เห็นว่าการที่คณะรัฐมนตรีลงมติตั้งองค์การสรรพาหารขึ้น เพื่อดำเนินการลดค่าครองชีพของประชาชน แม้จำเลยอ้างในคำฟ้องฎีกาว่า กิจการขององค์การสรรพาหารเป็นการค้าขายแต่เพียงนี้จะถือว่าอยู่นอกอำนาจการบริหารประเทศยังมิได้ เพราะแม้จะเป็นการค้าขายแต่ถ้าเป็นการค้าขายเพื่อลดค่าครองชีพของประชาชนไม่ใช่เพื่อหากำไรอย่างการค้าขายธรรมดาแล้ว ก็ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะกระทำไม่ได้ จึงฟังได้ว่าการดำเนินการลดค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งให้ประชาชนได้มีอาหารครองชีพที่ถูกนั้น ย่อมอยู่ภายในวัตถุที่ประสงค์ของการบริหารแผ่นดินโดยไม่มีปัญหา เพราะเป็นการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎร
ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พ.ศ. 2484 และพ.ศ. 2495 มาตรา 5 มีความอย่างเดียวกันว่า สำนักนายกรัฐมนตรีมีอำนาจและหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปของคณะรัฐมนตรีและราชการอื่น ๆ ซึ่งมิได้อยู่ภายในวงอำนาจและหน้าที่ของกระทรวงหนึ่งกระทรวงใดโดยเฉพาะ ฉะนั้นการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้องค์การสรรพาหารอยู่ในสำนักนายกรัฐมนตรีจึงเป็นการกระทำตามอำนาจที่กฎหมายให้ไว้ เพราะตามวัตถุประสงค์ขององค์การนี้ เป็นราชการทั่วไปของคณะรัฐมนตรีและทั้งเป็นราชการอื่นซึ่งมิได้อยู่ภายในวงอำนาจและหน้าที่ของกระทรวงใดโดยเฉพาะด้วย และการที่ให้องค์การสรรพาหารขึ้ต่อสำนักนายกรัฐมนตรีนี้ เนื่องจากองค์การนี้มิใช่กระทรวงทบวงหรือกรม จึงไม่ตราเป็นพระราชบัญญัติ และไม่ได้ตั้งขึ้นเป็นการแบ่งส่วนราชการในสำนักนายกรัฐมนตรี หากแต่เป็นงานชิ้นหนึ่งซึ่งคณะรัฐมนตรีมอบหมายให้สำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินงานเท่านั้นจึงหามีความจำเป็นต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกาไม่
อนึ่งแม้ พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พ.ศ. 2484มาตรา 6 จะแยกราชการในสำนักนายกรัฐมนตรีไว้ และไม่มีกล่าวถึงองค์การสรรพาหาร แต่เมื่อกิจการขององค์การสรรพาหารอยู่ในวัตถุประสงค์ของสำนักนายกรัฐมนตรี ดังกล่าวแล้วเมื่อไม่อาจขึ้นอยู่ในกรมใดในสำนักนายกรัฐมนตรีก็ยังอาจขึ้นอยู่ในกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้โดยตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง พ.ศ. 2484 มาตรา 6(2) กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นกรมที่ทำหน้าที่สำนักงานปลัดกระทรวง จึงมีหน้าที่เกี่ยวกับราชการของสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งมิได้แยกไปให้เป็นหน้าที่ของกรมหนึ่งกรมใดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2476 มาตรา 11 ดังที่ได้แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ พ.ศ. 2477 มาตรา 4ฎีกาของจำเลยที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจึงฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืน