คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5587/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านและที่ดินที่โจทก์ได้รับการยกให้ จาก ล. จำเลยต่อสู้คดีว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยและบิดาจำเลยคดีมีประเด็นเฉพาะบ้านพิพาท ซึ่งคู่ความตีราคาไว้ 200,000 บาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1622 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า พระภิกษุนั้น จะเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกในฐานะที่เป็นทายาทโดยธรรมไม่ได้ เว้นแต่จะได้สึกจากสมณเพศมาเรียกร้องภายในกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 นั้น หมายถึงกรณีที่เจ้ามรดกตายโดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ และพระภิกษุเป็นทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิในการรับมรดกด้วย ได้ฟ้องทายาทคนอื่น ๆ ขอแบ่งมรดก แต่โจทก์ได้รับการยกให้ซึ่งบ้านและที่ดินจาก ล. ในขณะที่ ล. มีชีวิตอยู่โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินดังกล่าว การฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านและที่ดินของโจทก์จึงมิใช่ฟ้องเรียกร้องเอาส่วนแบ่งทรัพย์มรดกในฐานะทายาทโดยธรรม แม้โจทก์จะเป็นพระภิกษุก็ย่อมมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 20 หมู่ที่ 3 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 9014 โดยได้รับการยกให้จากนางหลีก โหมดมณีซึ่งเป็นอาโจทก์ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2535 ต่อมาวันที่ 18 กรกฎาคม2540 จำเลยได้เข้าไปอยู่ในบ้านดังกล่าวโดยอ้างว่ามีสิทธิอาศัย โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากบ้านดังกล่าวแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านเลขที่ 20 หมู่ที่ 3

จำเลยให้การว่า นางหลีก โหมดมณี เป็นมารดาจำเลย บิดาจำเลยและจำเลยจึงเป็นเจ้าของบ้านดังกล่าว จำเลยและบริวารมีสิทธิอาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าว โจทก์มิใช่เจ้าของ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 20 หมู่ที่ 3 ของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านและที่ดินที่โจทก์ได้รับการยกให้จากนางหลีก โหมดมณี จำเลยต่อสู้คดีว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยและบิดาจำเลย จึงมีประเด็นเฉพาะราคาบ้านพิพาท ซึ่งคู่ความตีราคาในชั้นอุทธรณ์ไว้ 200,000 บาทเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำพิพากษาแล้ว จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายข้อ 2.1 เท่านั้น ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า โจทก์เป็นพระภิกษุฟ้องคดีในฐานะทายาทโดยธรรมจึงไม่มีอำนาจฟ้องซึ่งการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนว่า เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2535นางหลีกได้จดทะเบียนยกบ้านและที่ดินพิพาทแก่โจทก์ โดยโจทก์ให้นางผาดชาติสุข ดูแลบ้านดังกล่าว ครั้นวันที่ 18 กรกฎาคม 2540 จำเลยได้เข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น โดยอ้างว่าเป็นของนางหลีก สำหรับปัญหาตามข้อฎีกาของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1622 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า พระภิกษุนั้นจะเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกในฐานะที่เป็นทายาทโดยธรรมไม่ได้ เว้นแต่จะได้สึกจากสมณเพศมาเรียกร้องภายในกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 นั้น ต้องหมายถึงกรณีที่เจ้ามรดกตายโดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ และพระภิกษุเป็นทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิในการรับมรดกด้วย ได้ฟ้องทายาทคนอื่น ๆ ขอแบ่งมรดก แต่คดีนี้โจทก์ได้รับการยกให้ซึ่งบ้านและที่ดินจากนางหลีกในขณะนางหลีกมีชีวิตอยู่โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินดังกล่าว การฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านและที่ดินของโจทก์จึงมิใช่ฟ้องเรียกร้องเอาส่วนแบ่งทรัพย์มรดกในฐานะทายาทโดยธรรม แม้โจทก์เป็นพระภิกษุก็ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้

พิพากษายืน

Share