คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5583/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทางพิพาทเป็นทางแยกจากซอยวิชิต แม้จะเป็นถนนส่วนบุคคลที่มารดาจำเลยที่ 1 ได้ปักป้ายสงวนสิทธิไว้ที่ปากซอยมาประมาณ30 ปีแล้ว ก็มีผลเป็นเพียงการสงวนกรรมสิทธิ์ซอยวิชิตและทางพิพาทไม่ให้ต้องตกไปเป็นทางสาธารณะอันจะกลายเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินเท่านั้น ไม่มีผลเลยไปถึงว่าซอยวิชิตและทางพิพาทปลอดจากภาระติดพันใด ๆ มารดาโจทก์กับโจทก์และผู้เช่าที่ดินของโจทก์ปลูกบ้านอยู่อาศัยต่างได้ใช้ทางพิพาทเดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะเสมือนว่าตนมีสิทธิที่จะใช้โดยมิได้อาศัยสิทธิของมารดาจำเลยที่ 1 หรือจำเลยทั้งสองตลอดมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว พฤติการณ์ในการใช้ทางพิพาทของโจทก์และบุคคลทั่วไปจึงมีลักษณะเป็นการใช้โดยถือสิทธิเป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของทางพิพาทตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ทางพิพาทจึงตกอยู่ในภารจำยอม การที่โจทก์จะได้ภารจำยอมหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อที่ว่า โจทก์ได้เดินผ่านหรือใช้ที่ดินของจำเลยทั้งสองมาครบถ้วนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เกี่ยวกับการได้ภารจำยอมของโจทก์หรือไม่เท่านั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีประชาชนทั่วไปใช้ทางพิพาทเป็นประจำด้วยหรือไม่เมื่อโจทก์ใช้ทางพิพาทมาเกินกว่า 10 ปี ทางพิพาทย่อมตกเป็นภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 464 จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 26866 ที่ดินของโจทก์และจำเลยทั้งสองมีอาณาเขตติดต่อกัน ที่ดินของจำเลยทั้งสองติดต่อกับซอยวิชิตซึ่งออกไปสู่ถนนสาธารณะ (ถนนเพชรเกษม) ได้ ส่วนที่ดินของโจทก์มิได้ติดทางหรือถนนสาธารณะ โจทก์และบริวารรวมทั้งประชาชนทั่วไปได้ใช้ที่ดินของจำเลยทั้งสองเดินผ่านออกสู่ทางสาธารณะมาตั้งแต่ปู่ย่าตายายโดยสงบเปิดเผย ก่อให้เกิดสิทธิภาระจำยอมติดต่อกันตลอดมาเกินกว่า10 ปี ทางดังกล่าวจึงตกเป็นทางภาระจำยอมต่อมาจำเลยทั้งสองได้ใช้ให้บริวารรื้อรั้วของจำเลยทั้งสองออกเพื่อปลูกสร้างบ้านและทำรั้วใหม่ พร้อมทั้งปิดกั้นทางภารจำยอม ทำให้โจทก์และบริวารไม่สามารถใช้ทางภารจำยอมดังกล่าวเดินออกสู่ทางสาธารณะได้ตามปกติ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ปิดกั้นทางพิพาท เพื่อให้โจทก์และบริวารได้เข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ตามปกติดังเดิม และจัดทำทางเดินพิพาทดังกล่าวให้อยู่ในสภาพเดิมก่อนปิดกั้น ให้จำเลยทั้งสองไปทำการจดทะเบียนทางภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 26866 ให้ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 464เป็นที่ดินกว้าง 1.50 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินโฉนดเลขที่ 26866ของจำเลยทั้งสองให้แก่โจทก์และบริวารที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขาธนบุรี หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 26866 ทางพิพาทเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินทั้งหมดที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ทางพิพาทไม่เป็นทางภารจำยอมเพราะโจทก์ได้อาศัยเดินเข้าออกตามทางพิพาทโดยอาศัยสิทธิจากการที่มารดาจำเลยที่ 1 อนุญาตให้เดินเพราะเป็นเพื่อนบ้านคนรู้จักกัน โจทก์เองเป็นผู้ขออนุญาตใช้ทางพิพาทโดยขอความเห็นใจจากมารดาจำเลยที่ 1 เพราะเป็นทางลัดและสะดวกในการเข้าออกไปสู่ทางสาธารณะ การเดินผ่านทางพิพาทของโจทก์และบริวารเพิ่งจะเดินได้ประมาณ 7-8 ปีเท่านั้น และทางพิพาทที่โจทก์ถือวิสาสะเดินเข้าออกกว้างเพียง 80 เซนติเมตร ที่โจทก์ฟ้องขอเพิ่มเป็น 1.50 เมตร เป็นการเพิ่มภาระให้แก่ที่ดินของจำเลยฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ปิดกั้นทางพิพาทเพื่อให้โจทก์และบริวารได้เข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ตามปกติดังเดิม และจัดทำทางเดินพิพาทให้อยู่ในสภาพเดิมก่อนปิดกั้น หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อถอนก็ให้โจทก์ทำการรื้อถอนหรือจ้าง วาน ผู้อื่นทำการรื้อถอนสิ่งปลุกสร้างที่ปิดกั้นทางพิพาทให้เปิดใช้ได้ตามปกติดังเดิมโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนทั้งหมดแทนโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองเปิดทางพิพาทให้โจทก์และบริวารออกสู่ทางสาธารณะกว้าง 1 เมตรยาวตลอดแนวทางพิพาท ให้จำเลยทั้งสองไปทำการจดทะเบียนทางภารจำยอมในที่ดินโฉนดที่ 26866 แขวงวัดท่าพระ (เกาะท่าพระ)เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ให้ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดที่ 464 แขวงเกาะท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ เป็นที่ดินกว้าง1 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินโฉนดที่ 26866 ของจำเลยทั้งสองให้แก่โจทก์และบริวารที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขาธนบุรี หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอในส่วนที่ให้โจทก์รื้อถอนหรือจ้างวานผู้อื่นรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ปิดกั้นทางพิพาทให้เปิดใช้ได้ตามปกติดังเดิมโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายกับคำขอในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสองไปทำการจดทะเบียนทางภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 26866 แขวงวัดท่าพระ (เกาะท่าพระ)เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ให้ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 464 แขวงเกาะท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานครเป็นที่ดินกว้าง 1.50 เมตร (ที่ถูก 1 เมตร) ยาวตลอดแนวที่ดินโฉนดเลขที่ 26866 ของจำเลยทั้งสอง ให้แก่โจทก์และบริวาร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดเลขที่ 464แขวงเกาะท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 1 ไร่2 งาน 54 วา ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 26866 แขวงวัดท่าพระเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ของจำเลยทั้งสอง ที่ดินของจำเลยทั้งสองอยู่ติดกับซอยวิชิตซึ่งออกไปสู่ถนนเพชรเกษมอันเป็นทางสาธารณะได้ ส่วนที่ดินของโจทก์ไม่ติดทางสาธารณะ โจทก์ได้ใช้ทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งสองเดินผ่านออกสู่ทางสาธารณะมาตั้งแต่ที่ดินของจำเลยทั้งสองยังเป็นของมารดาจำเลยที่ 1 อยู่เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โดยมารดาของจำเลยที่ 1 ได้ตีรั้วสังกะสีกั้นเป็นทางพิพาทให้โจทก์และบริวารเดินผ่านออกสู่ทางสาธารณะได้ และโจทก์จำเลยทั้งสองรับว่าทางพิพาทกว้าง 1 เมตรตลอดแนว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ทางพิพาทเป็นภารจำยอมหรือไม่ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าทางพิพาทเป็นทางแยกจากซอยวิชิตถือเป็นส่วนหนึ่งของซอยวิชิตซึ่งมารดาของจำเลยที่ 1 ได้ปักป้ายไว้ที่ปากซอยวิชิตว่า เป็นถนนส่วนบุคคลสงวนสิทธิแสดงว่ามารดาจำเลยที่ 1 ยังสงวนสิทธิซอยวิชิตและทางพิพาทไว้ โจทก์ใช้ทางพิพาทเดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะมาตั้งแต่มารดาจำเลยที่ 1 ยังมีชีวิตอยู่ โดยโจทก์ขออนุญาตมารดาจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่เคยแสดงพฤติกรรมให้เห็นว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยปรปักษ์เพื่อตน จึงไม่ถือว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาให้ได้สิทธิภารจำยอมนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองนำสืบว่า ตากับยายและมารดาของจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำซอยวิชิตเป็นถนนเพื่อใช้เป็นทางเดินและรถเข้าออกไปสู่ถนนเพชรเกษมอันเป็นทางสาธารณะมาหลายสิบปีแล้ว แม้จะเป็นถนนส่วนบุคคลที่มารดาจำเลยที่ 1 ได้ปักป้ายสงวนสิทธิไว้มาประมาณ 30 ปีแล้วก็มีผลเป็นเพียงการสงวนกรรมสิทธิ์ซอยวิชิตและทางพิพาทไม่ให้ต้องตกไปเป็นทางสาธารณะอันจะกลายเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินเท่านั้น ไม่มีผลเลยไปถึงว่าซอยวิชิตและทางพิพาทปลอดจากภารติดพันใด ๆ จำเลยทั้งสองนำสืบรับว่าทางพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของซอยวิชิตที่โจทก์และบริวารใช้เป็นทางเดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะ แม้จะได้ความว่ามารดาจำเลยที่ 1 อนุญาตให้โจทก์และบริวารใช้ทางพิพาทในเบื้องต้น แต่พฤติการณ์ที่มารดาจำเลยที่ 1 ได้ตีรั้วสังกะสีกั้นเป็นแนวทางพิพาทไว้โดยมิได้ทำประตูปิดเปิดก็แสดงให้เห็นเจตนาว่าต้องการให้การใช้ทางพิพาทเป็นส่วนสัดเช่นเดียวกับซอยวิชิต และสภาพของทางพิพาทตามภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.3ก็อยู่ในลักษณะที่ขาดการดูแลรักษา ทั้งไม่ปรากฏว่ามารดาของจำเลยที่ 1 หรือจำเลยทั้งสองปรับปรุงดูแลทางพิพาทแต่อย่างใด ซึ่งมารดาโจทก์กับโจทก์และผู้เช่าที่ดินของโจทก์ปลูกบ้านอยู่อาศัยต่างได้ใช้ทางพิพาทเดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะเสมือนว่าตนมีสิทธิที่จะใช้โดยมิได้อาศัยสิทธิของมารดาจำเลยที่ 1 หรือจำเลยทั้งสองตลอดมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว พฤติการณ์ในการใช้ทางพิพาทของโจทก์และบุคคลทั่วไปจึงมีลักษณะเป็นการใช้โดยถือสิทธิเป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของทางพิพาทตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยละเอียดแล้ว ทางพิพาทจึงตกอยู่ในภารจำยอม คำพิพากษาฎีกาที่ 2053/2522 ที่จำเลยทั้งสองอ้างนั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ทางพิพาทมีเพียงโจทก์และบริวารใช้เป็นประจำ ส่วนบุคคลอื่นที่ใช้ทางพิพาทไม่อาจถือได้ว่ามีความจำเป็นต้องใช้ทางพิพาท เพราะมิได้มีบ้านเรือนอยู่ในละแวกนั้น เห็นว่าการที่โจทก์จะได้ภารจำยอมหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อที่ว่าโจทก์ได้เดินผ่านหรือใช้ที่ดินของจำเลยทั้งสองมาครบถ้วนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เกี่ยวกับการได้ภารจำยอมของโจทก์หรือไม่เท่านั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องมีประชาชนทั่วไปใช้ทางพิพาทเป็นประจำด้วยหรือไม่ เมื่อโจทก์ใช้ทางพิพาทมาเกินกว่า 10 ปี ทางพิพาทย่อมตกเป็นภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์แล้ว
พิพากษายืน

Share