แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลรัษฎากรไม่ได้บังคับว่าสัญญาซื้อขายจะต้องปิดอากรแสตมป์ ดังนั้น แม้สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจะไม่ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟัง เป็นพยานหลักฐานได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสอง ห้าม จำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมทั้งขับไล่จำเลยและบริวาร ออกไปจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๑๑,๔๐๐ บาท และอีกวันละ ๔๒๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดิน พิพาท
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลรัษฎากรไม่ได้บังคับว่าสัญญา ซื้อขายจะต้องปิดอากรแสตมป์ ดังนั้น สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่าง นางอุบลกับจำเลยแม้จะไม่ปิดอากรแสตมป์ ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐาน ได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองได้ขายและโอนการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่นางอุบล ต่อมานางอุบลขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยได้เข้าครอบครอง ทำกินที่ดินพิพาท ดังนั้นแม้ที่ดินพิพาทจะมี น.ส.๓ ได้หรือไม่ และ การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับนางอุบล ระหว่างนางอุบลกับ จำเลยจะสมบูรณ์หรือไม่เพียงใดก็ตาม เมื่อโจทก์โอนการครอบครองที่ดิน พิพาทให้นางอุบล และต่อมานางอุบลโอนการครอบครองให้จำเลย จำเลยจึง เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหาใช่โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิ ครอบครองที่ดินพิพาทไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องชอบแล้ว ฎีกา โจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.