แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์กับพวกซื้อที่ดินตามโฉนดรวม 9 แปลง ในปลายปี พ.ศ.2526นำมาขอรวมโฉนดแล้วแบ่งแยกโฉนดเป็นแปลงย่อม และโจทก์ขออนุญาตปลูกสร้างตึกแถวลงบนที่ดินดังกล่าวแล้วขายที่ดินพร้อมตึกแถวไปเป็นห้อง ๆ ในปี พ.ศ.2527 และ 2528 แสดงว่าโจทก์ขายที่ดินดังกล่าวในทางค้าหรือหากำไร โจทก์จึงต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าตามที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้โจทก์เสีย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นแต่เพียงผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเท่านั้นหาใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงไม่ โจทก์ไม่ใช่ผู้ประกอบการค้าประเภทการค้าอสังหาริมทรัพย์ และไม่มีเงินได้พึงประเมินจากการขายทรัพย์สิน โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระภาษีการค้าและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่เจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์กลับประเมินและวินิจฉัยให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้า ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้ทำการตรวจสอบแล้วปรากฏว่าโจทก์ได้ซื้อที่ดินมารวม 9 แปลง แล้วแบ่งเป็นแปลงย่อยและปรับปรุงที่ดินก่อสร้างตึกแถว อีกทั้งโจทก์เป็นผู้รับเงินค่าขายที่ดินพร้อมตึกแถวดังกล่าว ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าตามประเภทการค้า 11 การขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าหากำไร การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าจำเลยที่ 1 เป็นกรมสังกัดกระทรวงการคลัง จำเลยที่ 2ถึงที่ 4 เป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เมื่อปี พ.ศ. 2530เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีของจำเลยที่ 1 ได้เรียกโจทก์มาสอบถามเกี่ยวกับภาษีการค้าและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปี พ.ศ. 2527และ 2528 แต่โจทก์ไม่มาให้ถ้อยคำ เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จึงได้รวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบภาษีดังกล่าวของโจทก์ ปรากฏจากหลักฐานต่าง ๆ ว่าโจทก์ได้ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.1แผ่นที่ 5-12 มอบอำนาจให้ผู้อื่นขายที่ดินและตึกแถว ที่ดินและตึกแถวดังกล่าวโจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของและผู้ขออนุญาตปลูกสร้าง มีการทำสัญญาซื้อขายที่ดินพร้อมตึกแถวที่สร้าง เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 จึงประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าสำหรับปีดังกล่าวจากการขายที่ดินและตึกแถว กล่าวคือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี พ.ศ. 2527 เป็นภาษีรวมกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นเงิน429,976.74 บาท ปี พ.ศ. 2528 เป็นเงิน 431,328 บาท ภาษีการค้าสำหรับเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2527 รวมภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นเงิน 326,623 บาท สำหรับเดือนมกราคมถึงกันยายน2528 รวมเป็นเงิน 313,610 บาท โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินดังกล่าวว่า โจทก์ไม่เคยมีรายได้ตามที่ได้รับแจ้งการประเมินคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การประเมินดังกล่าวชอบแล้วแต่ให้ลดเบี้ยปรับลงร้อยละ 25
มีปัญหาในชั้นนี้ว่า การประเมินของเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ชอบเพราะโจทก์มิได้มีการขายที่ดินในทางค้าหรือหากำไรหรือไม่ พิเคราะห์แล้วโจทก์มีพยานคือ ตัวโจทก์เบิกความว่าโจทก์ทำงานได้เงินเดือน เดือนละ9,000 บาท ไม่มีรายได้อื่น อาศัยอยู่บ้านนายสุวิทย์ ตีวรชีวินน้าชาย โจทก์ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับการค้าที่ดินรายพิพาท เอกสารเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินหมาย ล.1 แผ่นที่ 1-20 โจทก์ไม่เคยทราบมาก่อน ส่วนหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 5-12 นายสุวิทย์นำเอามาให้ลงชื่อโดยยังไม่ได้กรอกข้อความ บอกว่าให้ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนนายสมเอก จิตรวานิชกุล เพื่อนนายสุวิทย์โดยมีนายสุวิทย์กับนายสมาน จินดาจามร คนรู้จักและเคยอยู่บ้านใกล้กันเบิกความสนับสนุน เห็นว่าข้อนำสืบของโจทก์ไม่น่าเชื่อ เพราะมีแต่เพียงพยานบุคคลซึ่งคนหนึ่งเป็นน้าชายของโจทก์และอีกคนหนึ่งเป็นเพื่อนบ้านเท่านั้น มีข้อน่าสงสัยว่าจะเบิกความช่วยเหลือกัน ทั้งข้ออ้างที่ว่า โจทก์ได้ลงชื่อในเอกสารที่ไม่ได้กรอกข้อความหลายฉบับก็เป็นการผิดวิสัย นอกจากนี้โจทก์ยังเบิกความรับว่านายสุวิทย์(น้าชาย) ได้เอาบัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนบ้านของโจทก์ไปเพื่อนำไปให้นายสมเอกด้วย แสดงว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้จริงมิใช่ไม่รู้เรื่องอะไร มิฉะนั้นคงจะไม่ยอมมอบเอกสารสำคัญดังกล่าวไป สำหรับจำเลยนั้น มีนายกิตติศักดิ์ ฮานาฟี กับนางสาวดวงใจจันทนจินดา เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีเบิกความเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อมูลที่ได้มาจากกองสืบสวนประมวลหลักฐาน กรมสรรพากร นายวิทยาสุวรรณพันธุ์ นิติกรผู้รวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับการขออนุญาตก่อสร้างตึกแถวจากกรมโยธาธิการและมีนายยงยุทธ จำนงศิลป กับนางสาวจรัสศรีศรีมณี เบิกความเกี่ยวกับการรวบรวมเรื่องราวเสนอคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และมีเอกสารหลักฐานต่าง ๆ คือ หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมายจ.1 แผ่นที่ 5-12 ซึ่งระบุว่า โจทก์มอบอำนาจให้ผู้อื่นขายที่ดินและตึกแถวเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 52 เป็นเรื่องที่โจทก์ขออนุญาตปลูกสร้างตึกแถวลงบนที่ดินที่ซื้อมา และเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่13-20 เป็นสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับผู้ซื้อหลายรายตามโฉนดรวม8 ฉบับ เอกสารหลักฐานต่าง ๆ เหล่านี้ได้รวบรวมมาตามอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่และล้วนแต่เป็นเอกสารราชการ จึงมีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานบุคคลของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้ร่วมกับพวกซื้อที่ดินตามโฉนดรวม 9 แปลง ในปลายปี พ.ศ. 2526 นำมาขอรวมโฉนดแล้วแบ่งแยกโฉนดเป็นแปลงย่อย และโจทก์ขออนุญาตปลูกสร้างตึกแถวลงบนที่ดินดังกล่าว แล้วขายที่ดินพร้อมตึกแถวไปเป็นห้อง ๆ ในปี พ.ศ.2527 และ 2528 ซึ่งแสดงว่าโจทก์ขายที่ดินดังกล่าวในทางค้าหรือหากำไร โจทก์จึงต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าตามที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้โจทก์เสีย การประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์รายพิพาทชอบแล้วอุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.